Stock

‘CPALL’ กำไร 9 เดือน ทะลุหมื่นล้าน โบรกฯ แนะนำ ‘ซื้อ’

CPALL กำไร 9 เดือนของปี 2565 ทะลุ 10,133.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.33% ขณะที่รายได้รวม 627,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ประกาศผลการดำเนินงานออกมาได้น่าประทับใจ และมีกำไรมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ โดยผลงานไตรมาส 3/2565 บริษัทมีรายได้รวม 213,808 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 3,676.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 146.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายและบริการของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ รวมถึงธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่ง MAKRO นั้นมีการเติบโตที่ดีขึ้น ประกอบกับมีการรับรู้รายได้ของธุรกิจ Lotus’s เข้ามา นอกจากนี้ กลยุทธ์ O2O ของแต่ละหน่วยธุรกิจยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

CPALL กำไร

อย่างไรก็ดี การเติบโตของรายได้ยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากการเปิดประเทศ และการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น

CPALL กำไร 9 เดือน กว่าหมื่นล้านบาท 

ส่งผลให้ภาพรวมงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 CPALL มีรายได้รวม 627,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิเติบโตทะลุ 10,133.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการปรับตัวที่ดีขึ้นของทุกหน่วยธุรกิจ

ทั้งนี้ เมื่อเจาะลงมาดูเฉพาะธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ปัจจุบันมีจำนวนสาขาทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 13,660 สาขา แบ่งเป็น

1. ร้านสาขาบริษัท 6,738 สาขา (คิดเป็น 49%)

2. ร้าน Store Business Partner และร้านค้าที่ได้รับสิทธิช่วงอาณาเขต 6,922 สาขา (คิดเป็น 51%) สำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้ CPALL วางแผนที่จะลงทุนเปิดร้านสาขาใหม่อีกประมาณ 700 สาขา คาดใช้งบลงทุนประมาณ 11,500-12,000 ล้านบาท

CPALL กำไร

โดยในไตรมาสนี้มียอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวัน เท่ากับ 76,612 บาท และยอดขายเฉลี่ยของร้านสาขาเดิมเพิ่มขึ้น 22.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดซื้อต่อบิลโดยประมาณ 82 บาท ในขณะที่จำนวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ย 928 คน

นักวิเคราะห์ประสานเสียง “ซื้อ” CPALL

หลังจากการประกาศงบไตรมาส 3/65 ก็พบว่านักวิเคราะห์ต่างออกมาให้คำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น CPALL โดยให้เหตุผลสนับสนุน แบ่งออกเป็น 3 ประเด็นหลักๆ ดังนี้

1. กำไรไตรมาส 3/65 โตดีกว่าคาด

CPALL มีกำไรไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 3,676.93 ล้านบาท ซึ่งดีกว่าที่ตลาดประเมินไว้ราว 20% โดยหลักมาจากยอดขายของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (7-Eleven) โดยเฉพาะการเติบโตของสินค้าที่มีอัตรากำไรที่สูง ได้แก่ กลุ่มสินค้า non-food เช่น ของใช้ส่วนตัว และยารักษาโรค ซึ่งกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งเมื่อมีการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น

2. การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG)
พบว่า SSSG ในไตรมาส 3/2565 อยู่ที่ 22.1% เทียบกับ 14.2% ในไตรมาส 2/2565 และลดลง 9.2% ในไตรมาส 3/2564 ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากแรงหนุนของจำนวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันที่ฟื้นตัวเป็น 928 คน

3. แนวโน้มไตรมาส 4/2565 ยังคงแข็งแกร่ง
เนื่องจากจะมีปัจจัยบวกจากกำลังซื้อที่เริ่มทยอยกลับมา ประกอบกับเข้าสู่ช่วง High season จากเทศกาลปี และการเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยหนุนการจับจ่ายใช้สอยได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ผลงาน MAKRO และ Lotus’s ที่มีทิศทางดีขึ้นด้วย

CPALL กำไร

อัปเดตข้อมูล ณ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2565

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo
แชร์วิธีคิด แบ่งปันความรู้ การเงิน การลงทุน