ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ Recession กลายเป็นประเด็นหลักที่กระทบบรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้ โดยเฉพาะสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้น ซึ่งมีการชะลอการลงทุนในหุ้นที่เป็น Growth Stock เติบโตเร็ว ซื้อขายกันที่ค่า P/E แพงๆ แต่หันกลับมาเพิ่มสัดส่วน Value Stock หรือธุรกิจแบบดั้งเดิมที่มีความแข็งแกร่ง ผันผวนต่ำ
การค้นหาธุรกิจแบบ Resilience จึงเป็นคำที่ถูกหยิบมาพูดถึงมมากขึ้นในช่วงนี้ แปลตรงตัวก็คือ “ความยืดหยุ่น” หรือ ความสามารถขององค์กรในการเตรียมพร้อม ตอบสนอง และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งมักเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน นำมาสู่ความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน
หุ้น CPALL หรือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในประเทศไทย เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีคาแรกเตอร์เป็น Resilience คือ ธุรกิจได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาด ไม่ว่าจะเกิดความขัดแย้งทางการเมือง โรคระบาด แม้แต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ก็ถือว่ามีความสามารถในการดูดซับปัจจัยลบ และฟื้นคืนประสิทธิภาพกลับมาได้อีกครั้ง
ทั้งนี้ จึงได้สรุป 2 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้หุ้น CPALL น่าสนใจ และตอบโจทย์กลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยแบบนี้
ปัจจัยที่ 1 ธุรกิจขนาดใหญ่ มั่นคงสูง
CPALL เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย โดยเป็นเจ้า 7-Eleven ร้านสะดวกซื้อครบวงจรที่มีทั้งอาหารพร้อมรับประทาน อาหารปรุงสด เครื่องดื่ม ร้านกาแฟ และสินค้าอุปโภค เช่น เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว แก็ดเจ็ตไอที รวมถึงเคาน์เตอร์เซอร์วิส ให้บริการตัวแทนรับชําระค่าสินค้าและบริการทางการเงินต่างๆ
แม้ร้านสะดวกซื้อจะเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่ในประเทศไทยนั้น 7-Eleven ยังคงเป็นเจ้าตลาดที่ทิ้งห่างคู่แข่งอยู่พอสมควร โดยครองส่วนแบ่งทางการตลาดจากจำนวนสาขามากที่สุดกว่า 80%
ซึ่งปัจจุบัน 7-Eleven มีมากกว่า 13,000 สาขาทั่วประเทศ
นอกเหนือจากร้านสะดวกซื้อแล้ว CPALL ยังมีธุรกิจอื่นๆ ที่ครอบคลุม ได้แก่ การเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ MAKRO ศูนย์จําหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคแบบค้าส่ง, บริการด้านอาหารพร้อมรับประทานและเบเกอรี่ ซีพี ฟู้ดแล็บ และ ซีพีแรม, ร้านค้าออนไลน์ 24 Shopping, ธุรกิจด้านการศึกษา อาทิ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ เป็นต้น
นักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/2565 ของ CPALL ว่าจะสามารถเติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า เพราะการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (same store sales growth) ในธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่ยังอยู่ในระดับสูง เช่นเดียวกับยอดขายสาขาเดิมของธุรกิจค้าส่ง MAKRO ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นกัน เหตุผลหลักๆ มาจากการผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม อาจมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่จำเป็นต้องปรับราคาสินค้าบางอย่าง แต่เชื่อว่าด้วยสถานะของบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง ประกอบกับสินค้าที่จำหน่ายส่วนใหญ่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน จึงสามารถต่อรองเรื่องการปรับขึ้นราคาสินค้าและผลักต้นทุนภาระบางส่วนให้กับลูกค้าได้
ประมาณการกำไรปี 2565 และ 2566 ของ CPALL ไว้ที่ราว 16,000 ล้านบาท และ 21,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 6.3% และ 2.9% ตามลำดับ พร้อมให้ราคาเป้าหมายปีนี้ไว้ที่ 73.5 บาท แนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากมองว่า CPALL มีความโดดเด่นเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่มค้าปลีก
ปัจจัยที่ 2 ราคาหุ้นแข็งแกร่งกว่าตลาด
จริงอยู่ว่าเวลานี้ไม่ใช่ช่วงที่ดีที่สุดของ CPALL จากราคาหุ้นที่วิ่งเป็น sideway มากว่า 2 ปี ทว่านี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการลงทุนหุ้นค้าปลีกรายใหญ่ที่ราคาหุ้นไม่หวือหวาแต่มั่นคง เมื่อสำรวจการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น CPALL พบว่าตั้งแต่ต้นปี (Year to Date) ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น 5.02% เหนือกว่าตลาดที่ปรับลดลง 7.39%
นักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า หุ้นกลุ่มค้าปลีกเริ่มปรับตัวขึ้นหลังจากลงไปแรงและเร็วมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มองว่าระยะสั้น downside จำกัด จากกิจกรรมภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น และธุรกิจท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นมา โดยเฉพาะ CPALL ที่ฟื้นตัวได้ดีนำกลุ่ม และจะได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากขึ้น
สรุปแล้วด้วยรูปแบบการดำเนินธุรกิจของ CPALL ที่ค่อนข้างเข้าใจง่าย ไม่ได้มีความซับซ้อน เติบโตตามการขยายสาขาและยอดขายต่อสาขา ซึ่งอิงตามสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงนั้นๆ ขณะที่การวิ่งของราคาหุ้นแม้ไม่ได้หวือหวาแต่ก็ไว้ใจได้ และหลายคนอาจจะมองเป็นจังหวะสะสมหลบเศรษฐกิจถดถอย เพราะพื้นฐานบริษัทไม่ได้รับกระทบมากนักนั่นเอง
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เกิดอะไรขึ้นกับ CPALL? ‘กำไรร่วงหนัก’ ผลงานต่ำกว่าที่คาด
- ‘CPALL’ ปิดขายหุ้นกู้ 6.6 หมื่นล้าน ต่อยอด ‘ออนไลน์-ออฟไลน์’ รุกขยายตลาด ‘กัมพูชา-ลาว’
- ตะลึง!! ‘CPALL’ เพียง 9 เดือน กำไรหายไปเกือบ 7 พันล้าน