ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ของสหรัฐ ซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (6 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยที่ “ดาวโจนส์” ร่วงเกือบ 200 จุด ใกล้หลุดแนว 30,000 จุด ถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 30,098.80 จุด ร่วงลง 175.07 จุด หรือ 0.58% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 3,762.49 จุด ลดลง 20.79 จุด หรือ 0.55% และดัชนีแนสแด็กที่ 11,110.45 จุด ลดลง 38.19 จุด หรือ 0.34%
การแข็งค่าของดอลลาร์ทำให้นักลงทุนวิตกว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้จากต่างประเทศ ส่วนการดีดตัวขึ้นของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก รวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐ จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายลดน้อยลง
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินกู้จำนองเพิ่มมากขึ้น และบริษัทต่างๆจะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ดิ่งลงกว่า 2% เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แต่หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นสวนทางตลาด ขานรับมติของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) และชาติพันธมิตร หรือโอเปคพลัส ในการปรับลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 29,000 ราย สู่ระดับ 219,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 203,000 ราย และยังสูงกว่าระดับ 215,000 ราย ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐ
ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.36 ล้านราย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘แบงก์ชาติญี่ปุ่น’ ไม่ขึ้นดอกเบี้ย ชี้ เศรษฐกิจเพิ่งฟื้นตัว เมิน ‘เงินเฟ้อ’ พุ่งสูง
- ‘พาวเวล’ ลั่นไม่ลดดอกเบี้ย จนกว่าคุมเงินเฟ้อได้ 2% หลัง ‘เฟด’ ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ตามคาด
- ‘ฟิลิปปินส์’ ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% รับมือ ‘เงินเฟ้อ’ พุ่ง คุกคามเศรษฐกิจโต