ตลาดหุ้นสหรัฐ ซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (29 ก.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยที่ “ดาวโจนส์” ดีดตัวเกิน 200 จุด จากขาขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น จุดชนวนให้เกิดการเทขายครั้งรุนแรงสุดในรอบปีนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 34,505.32 จุด ทะยานขึ้น 205.33 จุด หรือ 0.60% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 4,371.94 จุด ปรับขึ้น 19.31จุด หรือ 0.44% และดัชนีแนสแด็กที่ 14,566.35 จุด บวก 19.66 จุด หรือ 0.14%
เมื่อวานนี้ (28 ก.ย.) ดาวโจนส์ดิ่งลง 1.63% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 2.04% และดัชนีแนสแด็ก ทรุดตัวลง 2.83% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุด นับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ รวมทั้งความขัดแย้งในสภาคองเกรสเกี่ยวกับการอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว และการเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวลงในวันนี้ หลังจากพุ่งแตะ 1.567% เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ขณะที่ นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตือนว่า สหรัฐอาจเผชิญภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้
“เงินเฟ้อได้เร่งตัวขึ้นในขณะนี้ และมีแนวโน้มยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ก่อนที่จะอ่อนตัวลง”
ทางด้าน นักวิเคราะห์เตือนว่า หลังจากปรับตัวขึ้น 7 เดือนติดต่อกัน ขณะนี้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท กำลังมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการปรับฐาน จากปัจจัยหลายประการ ได้แก่
- เฟด มีแนวโน้มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตร ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้
- ความขัดแย้งในสภาคองเกรส เกี่ยวกับการอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว และการเพิ่มเพดานหนี้สหรัฐ
- การที่สภาคองเกรสอาจให้การอนุมัติการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
- ความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา
นางลิซ แอน ซอนเดอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Charles Schwab ระบุเตือนว่า ตลาดหุ้นสหรัฐมีแนวโน้มปรับฐาน 3-4% ในเดือนนี้ ทั้งสถิติที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐมักดิ่งลงอย่างหนักในเดือนกันยายน โดยเฉพาะหากเป็นปีแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งทำให้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลงเฉลี่ย 0.73% ในเดือนกันยายนของปีดังกล่าว
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) พุ่งขึ้น 8.1% สู่ระดับ 119.5 ในเดือนสิงหาคม เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.4%
อย่างไรก็ดี ดัชนียังคงถูกกดดันจากสต็อกบ้านที่ตึงตัว และราคาบ้านในระดับสูง โดยเมื่อเทียบรายปี ดัชนีร่วงลง 8.3% ในเดือนสิงหาคม
ทั้งนี้ ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย เป็นมาตรวัดจำนวนสัญญาซื้อบ้านมือสองที่เซ็นสัญญาแล้ว แต่ยังไม่ได้ปิดการขาย และโดยปกติแล้วจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนสำหรับการเซ็นสัญญาจนกระทั่งปิดการขาย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- โกลเบล็ก คาดหุ้นสัปดาห์นี้แกว่ง Sideway Up กรอบ 1,600-1,660 จุด
- เจาะดีล ‘TU’ ถือหุ้น ‘RBF’ ลุยตลาดอาหารโลก
- ‘พาวเวล’ ระบุ ‘โควิด’ ชี้ชะตาเศรษฐกิจสหรัฐ ย้ำ ‘นโยบายคลัง’ เครื่องมือช่วยฟื้นตัว