กลุ่มปตท. เดิมทีหลายคนอาจตั้งคำถามว่าจะไปต่อยังไงดีในช่วงสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลง สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่อ่อนแอ และเทรนด์การเติบโตของพลังงานทางเลือกที่กดดันให้กลุ่มพลังแบบดั้งเดิมค่อนข้างลำบาก
แต่ถ้าใครสังเกตดีๆ คงเห็นว่าตั้งแต่ต้นปี 2564 มานี้ เป็นปีที่กลุ่มปตท. ลงทุนหนักลงทุนเก่งมาก กระจายเงินทุนไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านการลงทุนหลากหลายรูปแบบ เช่น การซื้อกิจการ ซื้อหุ้นบางส่วน ตั้งบริษัทร่วมทุน และตั้งบริษัทย่อย
ครึ่งปีที่ผ่านมา กลุ่มปตท.ทุกบริษัท ทุ่มเงินลงทุนไปแล้วกว่า 2.8 แสนล้านบาท ถือว่าเป็นตัวเลขที่มหาศาลมากทีเดียวในรอบหลายปี แม้อยู่ท่ามกลางภาวะวิกฤติโควิด วันนี้เราเลยสรุปมาให้เห็นชัดๆ ว่าแต่ละบริษัทมีการขยับตัวลงทุนอะไรบ้าง ใครน่าสนใจที่สุด และมีโมเมนตัมเชิงบวกอะไรไหม ซึ่งขอไล่เรียงกันตามมูลค่า ดังนี้
1. PTTGC มูลค่าเงินลงทุนรวม 148,417 ล้านบาท
เป็นบริษัทที่ขยับตัวร้อนแรงที่สุดในเวลานี้ ด้วยการขยายโอกาสการเติบโตในต่างประเทศ มุ่งเน้นเข้าสู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง (High Value Business) อย่างการซื้อกิจการ 100% ของ Allnex Holding GmbH ในประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นผู้ผลิตสาร Coating Resins และ Additives ระดับโลก สำหรับใช้ในงานสถาปัตยกรรม อุตสาหกรรมทั่วไป สารเคลือบป้องกัน อุตสาหกรรมรถยนต์ สารเคลือบผิวและหมึกชนิดพิเศษ
2. PTTEP มูลค่าเงินลงทุนรวม 73,500 ล้านบาท
ถัดมาเป็น PTTEP ที่ทุ่มเงินราว 73,500 ล้านบาท ซื้อหุ้นในสัดส่วน 20% โครงการ Oman Block 61 ในประเทศโอมาน จาก BP Exploration (Epsilon) Limited ความน่าสนใจคือเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติบนบกที่มีปริมาณสำรองขนาดใหญ่ คิดเป็นประมาณ 35% ของโอมาน
3. GPSC มูลค่าเงินลงทุนรวม 34,425 ล้านบาท
อีกบริษัทที่ขยายไปลงทุนในต่างประเทศอย่างน่าสนใจ ได้แก่
1. ซื้อหุ้น 25% โรงไฟฟ้าพลังงานลม CI Changfang และ CI Xidao ในประเทศไต้หวัน กำลังการผลิตรวม 595 MW มูลค่าราว 16,000 ล้านบาท
2. ซื้อหุ้น 41.6% โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิตรวม 3,744 MW จาก Avaada Energy Private Limited บริษัทพลังงานหมุนเวียนชั้นนำของประเทศอินเดีย
3. เพิ่มทุนจำนวน 500 ล้านบาท ในบริษัท Anhui Axxiva New Energy Technology ประเทศจีน สำหรับโรงงานผลิตแบตเตอรี่
4. ตั้งบริษัทย่อย GPSC Singapore Pte.Ltd. ประเทศสิงคโปร์ และบริษัทย่อย โกลบอล รีนิวเอเบิล ซินเนอร์ยี่
4. PTT มูลค่าเงินลงทุนรวม 28,852 ล้านบาท
กลับมาที่บริษัทแม่ก็ไม่น้อยหน้า PTT มีการปรับโครงสร้างธุรกิจให้ชัดเจนขึ้น โดยเพิ่มพอร์ตลงทุนในธูรกิจไฟฟ้า ผ่านการซื้อหุ้น GPSC สัดส่วน 12.73% จาก PTTGC คิดเป็นมูลค่า 25,126 ล้านบาท
ขณะเดียวกันก็มีการลงทุนยิบย่อยอื่นๆ อาทิ ซื้อหุ้นเพิ่มทุน Lotus Pharmaceutical ผู้ผลิตและจำหน่ายยา ในประเทศไต้หวัน มูลค่า 1,550 ล้านบาท, ประมูลที่ดินมูลจากการบินไทย จำกัด (มหาชน) มูลค่า 1,810 ล้านบาท, ตั้งบริษัทร่วมทุนกับ IRPC อินโนโพลีเมด สร้างโรงงานผลิตอุปกรณ์การแพทย์ รวมทั้งตั้งบริษัทย่อย “PTT MEA” ที่ประเทศยูเออี บริษัทย่อย “อัลฟ่า คอม” บริษัทย่อย “ออน-ไอออน โซลูชั่นส์”
5. OR มูลค่าเงินลงทุนรวม 500 ล้านบาท
สำหรับ OR ทุ่มเงิน 500 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้น 20% บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด เจ้าของร้านอาหาร “โอ้กะจู๋” เพื่อต่อปีกร้านอาหารในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และการจำหน่ายอาหารแบบ Grab & Go ผ่านร้าน Café Amazon
อีกทั้งยังได้ร่วมลงทุนใน Flash Group ผู้ให้บริการ E-commerce สัญชาติไทย “แฟลช เอ็กซ์เพรส” ในรอบซีรีส์ E มูลค่าระดมทุน 4,700 ล้านบาท ส่งผลให้ Flash Group กลายเป็นสตาร์ทอัพยูนิคอร์นรายแรกของไทย อย่างไรก็ตาม OR ไม่ได้เปิดเผยชัดเจนว่าบริษัททุ่มเงินลงทุนไปเท่าไหร่
6. TOP มูลค่าเงินลงทุนรวม 45 ล้านบาท
สุดท้ายด้านไทยออยล์ ลงทุน 45 ล้านบาท ซื้อหุ้นในสัดส่วน 80% Jskem Private Limited บริษัทจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์และสารทำละลายในประเทศสิงคโปร์ แม้จะเป็นเงินลงทุนที่ไม่มากนัก แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการขยายฐานการจัดจำหน่ายสารทำละลายไปยังต่างประเทศ
ถือว่าเป็นปีที่กลุ่มปตท. ขยับตัวกันค่อนข้างมาก เหลือก็แต่ IRPC บริษัทเดียวที่ยังไม่ได้มีแผนลงทุนอะไรเพิ่มเติม เพราะตลอดปี 2564 มีแค่ใช้เงินไปกับการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงพลังงานเท่านั้นเอง
คงต้องจับตากันว่าครึ่งปีหลังจะมีโครงการไหนออกมาให้ตื่นเต้นอีกบ้าง เพราะขณะนี้ปตท. มีเงินสดในมือเหลือกว่า 4 แสนล้านบาท และอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุน (D/E) 0.29 เท่า ทำให้ยังมีช่องให้ขยายการลงทุนอีกมาก จากนโยบายการเงินที่กลุ่มบริษัทต้องการให้ D/E ไม่เกิน 1 เท่า
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- จับตาอนาคตหุ้นประกันยัง ‘มั่นคง’ อยู่ไหม?
- เทียบหุ้น ‘NSL vs TACC’ สองธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากเซเว่นฯ
- ‘กูรู’ คัดหุ้นเด่นไม่กลัว ‘ล็อกดาวน์’ ฟื้นตัวเร็วครึ่งหลังปี 64
