วิเคราะห์ ปัจจัยที่จะหนุนให้ AURA เติบโตต่อเนื่องในระยะยาว จะมาจาก 3 ปัจจัยหลัก
สถานการณ์ราคาทองคำในปัจจุบันต้องบอกว่ายืนอยู่ระดับสูงอย่างต่อเนื่อง โดยราคาทองโลก (Gold Spot) ทะยานตัวสูงขึ้นกว่า 20% เมื่อเทียบจากต้นปี ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 1,980 ดอลลาร์ เช่นเดียวกับราคาทองไทยที่ทำลายสถิติสูงสุดใหม่ โดยราคาทองคำแท่งขายออกขึ้นไปแตะ 34,250 บาท เมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา
สาเหตุสำคัญมาจากความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสที่มีโอกาสยืดเยื้อ ทำให้นักลงทุนหันมาถือทองคำกันมากขึ้น เนื่องจากถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย หรือ Safe haven นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศไทยพุ่งแรง
คำถามคือการที่ราคาทองพุ่งแรงแบบนี้ ร้านทองต่างคึกคักและหนาแน่นไปด้วยผู้คน แล้วผู้ประกอบการธุรกิจร้านค้าทอง จะได้ประโยชน์หรือเสียผลประโยชน์จากสถานการณ์เช่นนี้กันแน่ ? คำตอบของเรื่องนี้ คือไม่ว่าทองจะขึ้นหรือลง เอาจริงๆ แทบไม่ได้ส่งผลกระทบต่อร้านทองเท่าไหร่นัก
เพราะโมเดลธุรกิจร้านทองไม่ได้คาดหวังกำไรจากราคาทองที่เปลี่ยนไปในแต่ละวัน แต่ผลกำไรส่วนใหญ่อยู่ที่การกินส่วนต่างราคาซื้อขาย ค่ากำเหน็จ และดอกเบี้ยจากการจำนำทอง ดังนั้น สิ่งสำคัญของธุรกิจร้านทองจึงอยู่ที่การบริหารจัดการทองคำในมือให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ถ้าจะพูดถึงธุรกิจร้านทองในประเทศไทย แน่นอนว่าต้องเป็น AURA หรือ บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หุ้นค้าปลีกร้านทองรูปพรรณ เครื่องประดับเพชรและอัญมณี มีจุดเด่นด้านการให้บริการแบบครบวงจร (One Stop Service) พร้อมทั้งมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง สามารถเข้าถึงคนยุคใหม่จากจำนวนสาขามากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ตามห้างสรรพสินค้า รวมถึงมีการขยายไปสู่ช่องทางขายออนไลน์อีกด้วย
โดยรายได้หลักของ AURA จะมาจากการขายผลิตภัณฑ์ Modern Gold ที่สัดส่วนรายได้ประมาณ 95% นอกจากนี้ บริษัทจะมีรายได้อีกส่วนจากธุรกิจขายฝาก เป็นการรับขายฝากทองคำและเครื่องประดับจากลูกค้า โดยลูกค้าสามารถไถ่ถอนทรัพย์สินที่นำมาขายฝากภายในระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ ซึ่งลูกค้าจะต้องจ่ายดอกเบี้ย (1.25% ต่อเดือน) พร้อมคืนเงินต้น ณ วันไถ่ถอนทรัพย์สิน
อย่างไรก็ดี มุมมองของบทวิเคราะห์ บล. กสิกรไทย ระบุว่าจากสถานการณ์ราคาทองที่ขยับขึ้นมาในตอนนี้ จะส่งผลบวกต่อ AURA ในแง่ของความเชื่อมั่น เพราะราคาทองที่สูงขึ้น จะทำให้กิจกรรมการขาทองคำเป็นไปอย่างราบรื่น และเป็นการสนับสนุนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการลงทุนทองคำรูปพรรณ ซึ่งเป็นตัวแทนสถานะทางสังคม และแหล่งสะสมมูลค่า
ทั้งนี้ มองว่าแนวโน้มผลประกอบการของ AURA จะเติบโตในไตรมาส 3 นี้ คาดว่าจะรายงานกำไรสุทธิ 147 ล้านบาท เติบโต 9.1% จากปีก่อน เนื่องจากการขยายสาขา ต้นทุนทางการเงินที่แข่งขันได้ และสภาพเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้น
นอกจากนี้ ปัจจัยที่จะหนุนให้ AURA เติบโตต่อเนื่องในระยะยาว จะมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ
1. การขยายตัวของธุรกิจสินเชื่อทองคำที่ดีกว่าคาด
2. อัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นจากการมีโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ในธุรกิจทองคำ
3. การขยายสาขาที่จะช่วยเพิ่ม Economy of Scale ให้แก่บริษัท
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- หุ้นร้านทอง ‘AURA’ เปล่งประกาย ธุรกิจอยู่ในวัฎจักรเติบโต
- ระวัง! ‘สมาคมค้าทองคำ’ เตือน ‘วิกฤติรัสเซีย-ยูเครน’ ทำทองราคาผันผวน ขึ้นลงเร็ว
- ‘YLG’ ประเมินราคาทองปีนี้ทรงตัว แม้เผชิญปัจจัยกดดันเพียบ!