การลงทุนในหุ้นค้าปลีกน้ำมัน มีหนึ่งประเด็นสำคัญที่น่าจับตามอง นั่นก็คือความเสี่ยงด้านนโยบายภาษีสรรพสามิต สำหรับน้ำมันดีเซลที่ยังไม่มีความชัดเจน เนื่องด้วยการจำหน่ายน้ำมันดีเซลในประเทศ ได้รับการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตเกือบ 5 บาทต่อลิตร ปัจจุบันจัดเก็บอยู่ที่ 1.34 บาทต่อลิตร แต่นโยบายดังกล่าวใกล้จะหมดอายุลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 แล้ว
จึงมีโอกาสเช่นกันที่ภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซล จะกลับมาใช้อัตราปกติที่ 5.99 บาทต่อลิตร เพราะตอนนี้ยังไม่มีนโยบายขยายเวลาการลดภาษี ก่อนหน้านี้อธิบดีกรมสรรพสามิต เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าอัตราภาษีน้ำมันดีเซล คงจะต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของรัฐบาลใหม่
ทั้งนี้ บล.กสิกรไทย มีมุมมองต่อการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต และการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง คาดว่าสถานการณ์ที่เป็นไปได้มี 3 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 โอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดเก็บทั้งหมด เพื่อชดเชยการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตที่เพิ่มขึ้น แปลว่าว่าราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศและค่าการตลาดน้ำมันดีเซลจะไม่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม เงินไหลเข้ากองทุนน้ำมันคงเหลือจะเหลือน้อย จะทำให้บริหารเป็นเรื่องยาก
กรณีที่ 2 ปรับราคาน้ำมันดีเซลในประเทศให้สูงขึ้น และกดค่าการตลาดขายปลีกน้ำมันลง โดยคาดว่ากรณีนี้ไม่น่าเป็นไปได้จากรัฐมนตรีคลังของรัฐบาลชุดใหม่ เนื่องจากขัดกับนโยบายหาเสียงระหว่างการเลือกตั้ง
กรณีที่ 3 โอนเงินที่จัดเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วนไปชดเชย การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตบางส่วน และประกาศการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตอัตราใหม่ คาดว่าสถานการณ์นี้จะมีผลกระทบเล็กน้อยต่อราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลและค่าการตลาด
สำหรับบัญชีน้ำมันจะสมดุลในอีก 2 เดือนข้างหน้า ปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเก็บเงินจากน้ำมันดีเซลได้ 5.43 บาทต่อลิตร ทำให้มีเงินไหลเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 350 ล้านบาทต่อวัน โดยภายในวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 คาดว่าเงินทุนจะไหลเข้าประมาณ 18,600 ล้านบาท หมายความว่าบัญชีน้ำมันจะใกล้เคียงกับยอดดุล (ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2566 ขาดดุลอยู่ที่ 22,900 ล้านบาท )
ดังนั้น จึงคงมุมมองว่าบัญชีน้ำมันใกล้กลับมาจุดสมดุลภายใน 2 เดือนข้างหน้า ทำให้สามารถใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนเกินมาชดเชยการเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มเติมได้ ซึ่งนักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย มองว่าแม้จะความเสี่ยงด้านนโยบายมาถ่วงความเชื่อมั่นในระยะสั้น แต่โดยพื้นฐานแล้วเรายังคงชอบธุรกิจขายปลีกน้ำมัน เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะค่อยๆ ลดลง
ส่วนในแง่ของค่าการตลาด เชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่จะไม่กลับมาใช้นโยบายตรึงค่าการตลาดน้ำมันดีเซลที่ 1.4 บาทต่อลิตร เพราะเป็นระดับที่ผู้ประกอบการไม่มีกำไร จึงคงมุมมองว่ากำไรของหุ้นค้าปลีกน้ำมันมีแนวโน้มฟื้นตัวในระยะสั้น รวมทั้งเชื่อว่าค่าการตลาดขายปลีกน้ำมันได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
เพราะฉะนั้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับหุ้น OR หรือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท และ หุ้น PTG หรือ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ราคาเป้าหมาย 16.20 บาท ถึงแม้ว่าความซับซ้อนของการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการเก็บภาษีสรรพสามิตอาจทำให้เกิด downside ก็ตาม
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เคาะขยายเวลาลดภาษีน้ำมันดีเซลอีก 6 เดือน หวังลดต้นทุนค่าไฟ
- ‘สรรพสามิต’ โอด! ลดภาษีน้ำมันดีเซล ทำจัดเก็บรายได้พลาดเป้า
- ครม.จัดให้! เคาะขยายเวลาลดภาษีน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 5 บาท อีก 2 เดือน