Stock

ปมปัญหาหุ้น ‘STARK’ ที่นักลงทุนต้องรู้!!

สรุปปมปัญหาหุ้น ‘STARK’ ที่นักลงทุนต้องรู้!! ก่อนที่ตลาดจะอนุญาตให้กลับมาเทรดได้อีกครั้ง

ความร้อนแรงในเวลานี้ของ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ถ้าไม่ถูกพูดคงไม่ได้ เพราะมีหลายปัญญาพัวพันมากมาย ไล่มาตั้งแต่การเพิ่มทุนเพื่อซื้อบริษัทในต่างประเทศ การไม่ส่งงบการเงินประจำปี โดนตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งให้หยุดซื้อขายหุ้นชั่วคราว เกิดการลาออกของผู้บริหาร ตลอดจนมีกระแสข่าวลือปลิวว่อนว่าสาเหตุของความวุ่นวายทั้งหมดนี้ เกิดจากการทุจริตภายในกันเอง

ใครที่ยังสับสนและงงๆ กันเรื่องราวของหุ้น STARK เราได้ไล่เรียงไทม์ไลน์สำคัญที่ต้องรู้มาให้แล้ว

ก่อนจะมาเป็น STARK คือ สยามอินเตอร์ มัลติมีเดีย

หุ้น STARK ไม่ได้ IPO แบบปกติ แต่ใช้วิธีเข้าตลาดแบบ Backdoor Listing คือ นำบริษัทเข้าตลาดหุ้นทางอ้อม ด้วยการเข้าซื้อสินทรัพย์หรือหุ้นของบริษัทอื่นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นอยู่แล้ว นั่นคือหุ้น SMM หรือ บริษัท สยามอินเตอร์มัลติมีเดีย จำกัด (มหาชน) ที่ทำธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์หนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น และลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาต่างๆ แต่ระยะหลังเริ่มมีผลขาดทุน จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

ปมปัญหา

SMM แจ้งการเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทเป็น บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และชื่อย่อหลักทรัพย์ใหม่ว่า STARK เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2562 และได้เปลี่ยนแปลงพื้นฐานจากบริษัทที่อยู่ในธุรกิจตะวันตกดิน กลายมาเป็นธุรกิจดาวรุ่งอย่างธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิล

STARK เติบโตจนเข้าไปติด SET100

พื้นฐานที่เปลี่ยนไปของ STARK ทำให้ผลประกอบการดูดีขึ้นชัดเจน จนเข้าไปคำนวณในดัชนี SET100 ได้สำเร็จในช่วงต้นปี 2565 โดยหากย้อนดูรายได้และกำไร เป็นดังนี้
ปี 2562 รายได้ 11,607.71 ล้านบาท กำไร 123.92 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้ 16,917.68 ล้านบาท กำไร 1,608.66 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 27,129.64 ล้านบาท กำไร 2,783.11 ล้านบาท
ขณะที่งบ 9 เดือนปี 2565 มีรายได้ 27,129.64 ล้านบาท และกำไร 2,216.47 ล้านบาท

เนื่องด้วยธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิล เติบโตตามเทรนด์อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดย EV Charger จะต้องใช้สายไฟของบริษัท ประกอบกับการเข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนาม ซึ่งเศรษฐกิจกำลังกลับมาขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ปัญหาเริ่มเกิด เมื่อ STARK ขอเพิ่มทุน 5.58 พันล้าน

จุดเริ่มของปมนี้มาจากช่วงกลางปี 2565 บริษัทประกาศเพิ่มทุน 1,500 ล้านหุ้น ให้กับนักลงทุนสถาบัน ราคาหุ้นละ 3.72 บาท คิดเป็นมูลค่าราว 5,580 ล้านบาท เพื่อไปซื้อกิจการ LEONI บริษัทในประเทศเยอรมนี ซึ่งทำธุรกิจสายเคเบิลและการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า

ผลการจัดสรรหุ้นเป็นไปอย่างราบรื่น มีสถาบันการเงินต่างประเทศ สถาบันการเงินในประเทศ และบริษัทขนาดใหญ่ร่วมลงทุน จำนวน 12 ราย ได้แก่ Credit Suisse, The Hongkong and Shanghai Banking, UOB Kay Hian, บลจ.บัวหลวง, บลจ.กสิกรไทย, บลจ.ไทยพาณิชย์, บลจ.เกียรตินาคินภัทร, บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง, บลจ.วรรณ, เมืองไทยประกันชีวิต, บลจ.กรุงไทย และบลจ.อเบอร์ดีน

แต่แล้ววันที่ 13 ธันวาคม 2565 ทาง STARK แจ้งว่าขอยกเลิกแผนการลงทุนใน LEONI จากเหตุผลเรื่องสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ทำให้ขั้นตอนการซื้อกิจการล่าช้าออกไป และจะนำเงินเพิ่มทุน 5,580 ล้านบาท ไปใช้กับโครงการอื่นแทน หรืออาจจะนำไปชำระหนี้ระยะสั้นเพื่อให้ฐานะทางการเงินแข็งแกร่งขึ้น

ปมปัญหา

ปมปัญหา ลุกลาม ผู้บริหารลาออก ไม่ส่งงบการเงิน ถูกพักการซื้อขาย

ต่อมาเมื่อต้นปี 2566 มีการทยอยลาออกของผู้บริหาร เริ่มด้วยวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 นายมงคล ตั้งใจพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตามมาด้วยการทยอยลาออกยกชุดของกรรมการบริษัท ผู้บริหารระดับ และผู้ตรวจสอบบัญชี

นอกจากนี้ STARK แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่ามีความจำเป็นต้องเลื่อนส่งงบการเงินรวม และงบการเงินเฉพาะกิจการ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 โดยให้เหตุผลว่าข้อมูลบางส่วนอยู่ระหว่างการดำเนินงานของบริษัท และการตรวจสอบของผู้สอบบัญชี

วันที่ 1 มีนาคม 2566 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขึ้นเครื่องหมาย SP หุ้น STARK ในขณะที่บริษัทเองก็ได้แจ้งเลื่อนส่งงงบอีกหลายครั้ง กระทั่งวันที่ 17 พฤษภาคม 2566 ก.ล.ต. ต้องสั่งให้ STARK ชี้แจงข้อเท็จจริงและความคืบหน้า รวมถึงให้มีการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ (special audit) เกี่ยวกับการขาย ลูกหนี้ และรายการบัญชีที่เกี่ยวข้อง

หุ้น STARK กลับมาเทรดวันแรก ราคาร่วงเกือบ 100%

ปกติแล้วหุ้นที่ขึ้นเครื่องหมาย SP จะถูกพักการซื้อขายไม่เกิน 3 เดือน ก่อนที่ตลาดจะอนุญาตให้กลับมาเทรดได้หลังจากนั้น 1 เดือน กำหนดให้ซื้อด้วยบัญชี Cash Balance เท่านั้น  หากยังไม่สามารถส่งงบได้ภายใน 6 เดือน ก็จะเข้าข่ายถูกเพิกถอนออกจากตลาดหุ้น (ขึ้นเครื่องหมาย NC)

ปมปัญหา

ล่าสุดวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา หุ้น STARK กลับมาซื้อขายเป็นวันแรก ทำราคาปิดตลาดดิ่งลง 92.44% ที่ราคา 0.18 บาท เรียกว่าสร้างความเจ็บช้ำให้ผู้ถือหุ้นเป็นอย่างมาก

คงต้องติดตามกันต่อไปว่าในท้ายที่สุดแล้ว… จุดจบของ STARK จะเป็นอย่างไร เพราะยังมีอีกหลายปมที่รอการคลี่คลาย

อ่านข่าวเพิ่มเติม 

Avatar photo
แชร์วิธีคิด แบ่งปันความรู้ การเงิน การลงทุน