Stock

บอร์ด ปตท.สผ. เคาะจ่ายเงินปันผล 9.25 บาทต่อหุ้น เปิดงบลงทุนปีนี้ 1.91 แสนล้าน

บอร์ด ปตท.สผ. อนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผล 9.25 บาทต่อหุ้น เดินหน้าลงทุนปีนี้ 1.91 แสนล้านบาท หลังผลประกอบการปี 2565 รายได้เข้าเป้า 3.39 แสนล้านบาท

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2566 ได้อนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2565 ที่ 9.25 บาทต่อหุ้น

ปตท.สผ.

ทั้งนี้ ปตท.สผ. ได้จ่ายสำหรับงวด 6 เดือนแรกไปแล้วในอัตรา 4.25 บาทต่อหุ้นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2565 ส่วนที่เหลืออีก 5 บาทต่อหุ้น จะกำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 และจะจ่ายในวันที่ 24 เมษายน 2566 ภายหลังได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2566 แล้ว

การอนุมัติจ่ายเงินปันผลดังกล่าว เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานในปี 2565 เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยสามารถรักษาระดับต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ที่ 28.36 ดอลลาร์ และมีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ย (Sales volumes) 468,130 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 12% จาก 416,141 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในปี 2564

ทั้งนี้ ส่วนใหญ่มาจากการผลิตปิโตรเลียมของโครงการในต่างประเทศ เช่น โครงการโอมานแปลง 61 และโครงการมาเลเซีย แปลงเอช รวมทั้ง โครงการในประเทศ ได้แก่ โครงการจี 1/61 ด้วย

ในขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยในปี 2565 ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ส่งผลให้ในปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 9,660 ล้านดอลลาร์ หรือ 339,902 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากปี 2564 ซึ่งมีรายได้รวม 7,314 ล้านดอลลาร์ หรือ 234,631 ล้านบาท

ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,999 ล้านดอลลาร์ หรือ 70,901 ล้านบาท โดยในปี 2565 ปตท.สผ. สามารถนำส่งรายได้ให้กับรัฐในรูปของภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่น ๆ ประมาณ 62,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ปตท.สผ. ยังได้ดำเนินแผนงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050) เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ

PTTEP logo

สำหรับปี 2565 บริษัทสามารถลดก๊าซเรือนกระจกสะสมได้กว่า 3 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าจากปีฐาน 2555 รวมทั้ง กำลังพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) ที่โครงการอาทิตย์

ด้านความคืบหน้าล่าสุด ได้เสร็จสิ้นขั้นตอนการศึกษาทางวิศวกรรมเบื้องต้นแล้ว และอยู่ระหว่างการออกแบบด้านวิศวกรรม (FEED) ซึ่งคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ได้ปลายปี 2566 โดยมีแผนจะเริ่มใช้เทคโนโลยี CCS เป็นครั้งแรกในประเทศไทยได้ในปี 2569 ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ประมาณ 7 แสน-1,000,000 ล้านตันต่อปี

ในขณะเดียวกัน บริษัทกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการ CCS ในบริเวณพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทย รวมทั้ง ในประเทศที่ ปตท.สผ. มีพื้นที่ปฏิบัติการด้วย เช่น ประเทศมาเลเซีย

ปตท.สผ. ยังมุ่งมั่นในการนำก๊าซเผาทิ้งจากกระบวนการผลิตปิโตรเลียมกลับมาใช้ใหม่ ควบคู่ไปกับการนำพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดมาใช้ในพื้นที่ปฏิบัติการมากขึ้น อาทิ การติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่โครงการอาทิตย์ โครงการเอส 1 และฐานสนับสนุนการพัฒนาปิโตรเลียม ปตท.สผ. ที่จังหวัดสงขลา และกังหันลมที่โครงการอาทิตย์ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังรวมถึง ดำเนินโครงการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Offsetting) อย่างต่อเนื่อง ด้วยการปลูกป่าทั้งป่าบกและป่าชายเลน เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการดูดซับก๊าซเรือนกระจก

นายมนตรี กล่าวว่า สำหรับปี 2566 บริษัทได้ตั้งงบประมาณการลงทุน จำนวน 5,481 ล้านดอลลาร์ หรือ 191,818 ล้านบาท เพื่อรองรับแผนการดำเนินงานต่าง ๆ ได้แก่ การเพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมจากโครงการผลิตหลักที่สำคัญ ได้แก่ โครงการจี 1/61 โครงการจี 2/61 โครงการอาทิตย์ โครงการคอนแทร็ค 4 โครงการเอส 1 และโครงการผลิตในประเทศมาเลเซีย

PTTEP CEO Montri Rawanchaikul
มนตรี ลาวัลย์ชัยกุล

พร้อมกันนี้ ยังเร่งผลักดันโครงการหลักที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา ได้แก่ แหล่งลัง เลอบาห์ ในโครงการมาเลเซีย เอสเค 410 บี และโครงการโมซัมบิก แอเรีย 1 รวมถึง การเร่งการสำรวจในโครงการต่าง ๆ ในประเทศไทย มาเลเซีย และโอมาน

ขณะเดียวกัน ยังได้สำรองงบประมาณ จำนวน 4,800 ล้านดอลลาร์ หรือ 166,052 ล้านบาท สำหรับช่วง 5 ปี (2566 – 2570) เพื่อขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ รองรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน โดยขณะนี้ บริษัทอยู่ในระหว่างการศึกษาและพัฒนาธุรกิจใหม่ต่าง ๆ เช่น ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจ CCS ธุรกิจการดักจับคาร์บอนและการใช้ประโยชน์ (Carbon Capture and Utilization หรือ CCU) ธุรกิจไฮโดรเจนสะอาด รวมทั้ง การต่อยอดเทคโนโลยีที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่ไปสู่ธุรกิจเชิงพาณิชย์

ล่าสุด ปตท.สผ. กำลังเร่งเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติในโครงการจี 1/61 ซึ่งในปีที่ผ่านมา ได้เสร็จสิ้นการติดตั้งแท่นหลุมผลิต (Wellhead platform) จำนวน 8 แท่นเป็นที่เรียบร้อย และในปีนี้ จะติดตั้งแท่นหลุมผลิตเพิ่มอีก 4 แท่น วางท่อใต้ทะเล และเตรียมแท่นขุดเจาะ (Rig) 6 แท่น เพื่อเร่งเจาะหลุมผลิตเพิ่มเติมอีก 273 หลุม

จากการดำเนินการดังกล่าว คาดว่าจะสามารถผลิตก๊าซฯ เพิ่มขึ้นเป็น 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในช่วงกลางปีนี้ และเพิ่มเป็น 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในช่วงปลายปี โดยคาดว่าในเดือนเมษายน 2567 อัตราการผลิตก๊าซฯ จะขึ้นมาอยู่ที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

ปตท.สผ. ยังได้เพิ่มอัตราการผลิตก๊าซฯ จากทุกโครงการของ ปตท.สผ. ในอ่าวไทย ได้แก่ โครงการบงกช โครงการจี 2/61 โครงการอาทิตย์ และโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่อต้นทุนทางพลังงานให้กับประชาชน

นายมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ปตท.สผ. กำลังมองหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ รองรับการเปลี่ยนผ่านของธุรกิจพลังงานเพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต ควบคู่ไปกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อเป้าหมายการเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ

ตัวอย่างเช่น การลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียน พลังงานรูปแบบใหม่ และนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยได้จัดตั้งบริษัทย่อยต่าง ๆ เพื่อรองรับการลงทุนดังกล่าว เช่น บริษัท เอ็กซ์พลอร์ เวนเจอร์ส (Xplor Ventures) ในรูปแบบ Corporate Venture Capital (CVC) เพื่อลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพ (Startup) ที่มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เป็นต้น

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo