คลัง ชี้ การขึ้นภาษี VAT 10% เพื่อกันเงินรายได้ไปใช้ “เป็นการเฉพาะ” ทำไม่ได้ ผิดพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง 2561
นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ขยายตัวที่ 2.2% และคาดว่าเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวและอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง
และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย เนื่องจากแรงกดดันจากราคาสินค้าในหมวดพลังงานได้คลี่คลายลง ประกอบกับในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิสูงกว่าประมาณการและสูงกว่าช่วงเดียวกับปีก่อนถึง 7.6% และ 5.2% ตามลำดับ
ฐานะการคลังมั่นคงเพียงพอต่อการจัดสรรสวัสดิการผู้สูงอายุ
ดังนั้น การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ 7% เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจให้กับภาคเอกชน อันจะส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
โฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า ฐานะการคลังในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่มั่นคงและเพียงพอต่อการดำเนินนโยบายต่าง ๆ รวมถึงการจัดสรรสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งมีกองทุนผู้สูงอายุที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นทุนใช้จ่ายเกี่ยวกับการคุ้มครอง การส่งเสริม และสนับสนุนผู้สูงอายุ
รวมถึงมีการเก็บเงินบำรุงกองทุนผู้สูงอายุจากภาษีสรรพสามิตสินค้าสุราและยาสูบในอัตรา 2% โดยปีงบประมาณละไม่เกิน 4,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา เพื่อนำเงินกองทุนผู้สูงอายุ ไปจัดสรรเป็นเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม
กันเงินรายได้ไปใช้เป็นการเฉพาะ ทำไม่ได้
สำหรับข้อเสนอให้ปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อนำมาใช้เป็นเงินออมในวัยเกษียณให้แก่ประชาชน เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีฐานการบริโภคที่มีความสัมพันธ์กับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ การปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มย่อมส่งผลกระทบต่อการบริโภคของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งผลของการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มทำให้ระดับราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อำนาจการซื้อของประชาชนลดลง
ดังนั้น การปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจึงจำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบด้าน ตลอดจนพิจารณาในช่วงเวลาที่เหมาะสม
นอกจากนี้ ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 กำหนดว่า การกันเงินรายได้เพื่อให้หน่วยงานของรัฐนําไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงานนั้น หรือเพื่อการหนึ่งการใดเป็นการเฉพาะจะกระทำมิได้ เว้นแต่จะอาศัยอำนาจตามกฎหมาย ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องหารือถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ส่งเสริมและปรับปรุงระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุของแรงงานอย่างต่อเนื่อง เช่น ได้ปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อเพิ่มเพดานเงินสะสมของสมาชิก และเพิ่มเพดานเงินสมทบจากรัฐให้แก่สมาชิก ซึ่งเป็นแรงงานนอกระบบที่ออมกับกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อให้มีเงินออมใช้หลังเกษียณเพิ่มขึ้นแล้ว การเสนอร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. …. เพื่อให้แรงงานในระบบมีเงินออมเพิ่มขึ้น
รวมถึงการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงินเพื่อให้คนไทยทุกกลุ่มและทุกช่วงวัยมีทักษะทางการเงินและความมั่นคงทางการเงินเพิ่มขึ้นด้วย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- สภาพัฒน์ฯ ชงขึ้น ‘ภาษี VAT 10%’ แบ่ง 3% มาเป็นเงินออม ‘หลักประกันวัยเกษียณ’ รองรับสังคมสูงวัย
- ‘กระทรวงการคลัง’ ยืนยัน! ไม่มีนโยบายปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 10%
- ‘สภาพัฒน์’ ยันข่าวปรับ VAT เป็น 10% แค่หารือ ต้องพิจารณารอบด้าน