สัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แจ้งผลประกอบการงวด 9 เดือนของปี 2564 ออกมาแล้ว พบว่าทั้ง 10 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารเกียรตินาคินภัทร, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารทิสโก้ และธนาคารไทยธนชาต
สามารถทำกำไรสุทธิรวมกันอยู่ที่ 140,535 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับงวด 9 เดือนของปี 2563 ซึ่งอยู่ที่ 107,000 ล้านบาท สาเหตุหลักที่ทำให้ภาพรวมผลกำไรเติบโตแข็งแกร่งนั้นมาจากการตั้งสำรองความเสี่ยง (Coverage ratio) ที่ปรับตัวลดลง เพราะสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ ค่อนข้างคลี่คลายลงแล้ว
เราจึงสรุปมาดูกันแบบชัดๆ ว่าในงวด 9 เดือนของปีนี้ กำไรสุทธิของแต่ละธนาคารในตลาดหุ้นไทยเป็นอย่างไรกันบ้าง ธนาคารไหนเติบโตโดดเด่นที่สุด? โดยเรียงมาให้แล้วจากมากไปน้อย
1. KBANK : ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
กำไรสุทธิ 9 เดือน เท่ากับ 28,151 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 73.47%
2. BAY : ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
กำไรสุทธิ 9 เดือน เท่ากับ 27,409 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 39.45%
3. BBL : ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
กำไรสุทธิ 9 เดือน เท่ากับ 20,189 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 36.57%
4. KTB : ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
กำไรสุทธิ 9 เดือน เท่ากับ 16,644 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 25.34%
5. SCB : ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
กำไรสุทธิ 9 เดือน เท่ากับ 27,720 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 24.57%
6. CIMBT : ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)
กำไรสุทธิ 9 เดือน เท่ากับ 1,708 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 16.40%
7. TISCO : บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
กำไรสุทธิ 9 เดือน เท่ากับ 4,990 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 12.72%
8. KKP : ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
กำไรสุทธิ 9 เดือน เท่ากับ 4,294 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 6.96%
9. LHFG : บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
กำไรสุทธิ 9 เดือน เท่ากับ 1,756 ล้านบาท ปรับลดลง -5.17%
10. TTB : ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน)
กำไรสุทธิ 9 เดือน เท่ากับ 7,674 ล้านบาท ปรับลดลง -13.55%
สรุปจากข้อมูลที่รวบรวมแล้วจะเห็นว่ามีถึง 8 จาก 10 ธนาคารที่สามารถทำกำไรสุทธิเติบโตได้อย่างสวยงาม โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ Big 5 ได้แก่ KBANK, BAY, BBL, KTB และ SCB แต่ทว่ามีเพียง 2 ธนาคารเท่านั้นที่งบ 9 เดือนปรับตัวลดลง ได้แก่ LHFG และ TTB
สำหรับ LHFG เป็นผลจากการลดลงของกำไรจากเงินลงทุน และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่น รวมทั้งผลดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรกที่ค่อนข้างอ่อนแอ ขณะที่ TTB เนื่องจากรายได้จากการดำเนินงานได้รับแรงกดดันจากการเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างรุนแรง นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการรวมกิจการ และธนาคารยังคงตั้งสำรองในระดับสูง
อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นการสรุปงบเบื้องต้นของธุรกิจธนาคารเท่านั้น นักลงทุนอย่าลืมไปเจาะรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติมในงบการเงินด้วย ซึ่งตัวเลขสำคัญของหุ้นกลุ่มธนาคารที่ต้องรู้ ประกอบด้วย NPL Ratio, Coverage Ratio, รายได้จากดอกเบี้ย, Net Interest Margin, รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย และ Cost to Income Ratio เป็นต้น โดยส่วนใหญ่แล้วธรรมขาติของหุ้นกลุ่มแบงก์จะขึ้นลงตามรอบของเศรษฐกิจ และในระยะสั้นราคาก็จะมีการผันผวนตามการคาดการณ์ของตลาด คือถ้างบดีราคามักขึ้นต่อ และถ้าดีน้อยกว่าตลาดคาด ราคาก็ลงได้เช่นกัน คราวนี้ก็ต้องมาจับตาดูว่าเปิดตลาดของสัปดาห์หลังประกาศงบจะมีหุ้นตัวไหนวิ่งสะท้อนข่าวดี หรือจะเกิดเหตุการณ์ Sell on fact กันบ้าง
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ราคาน้ำมันแพงไม่หยุด! เลือกหุ้น PTTEP – PTTGC – SPRC เป็น ‘ท็อปพิค’
- ราคาน้ำมันยังแรง ปิดตลาดดีดอีก 1.05 ดอลล์ เหตุทั่วโลกยังอยู่ใน ‘ภาวะตึงตัว’
- จับตา! ‘ราคาน้ำมัน’ ส่อขาขึ้นยาว แนวโน้มราคาพุ่งถึง 100 ดอลล์