Politics

‘บิ๊กตู่’ ลุกขึ้นแจงส่งท้ายศึกซักฟอก ยันไทยไม่ใช่ประเทศที่รับมือโควิดแย่สุด!!

“บิ๊กตู่” ลุกขึ้นแจงส่งท้ายศึกซักฟอก ยืนยัน “ไทย” ไม่ใช่ประเทศที่รับมือโควิดแย่สุด ลั่นไม่เป็นธรรมกล่าวหารัฐบาลค้าความตาย พร้อมเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง

ที่รัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขึ้นชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจบริเวณตู้กั้นฉากว่า วันนี้ผมจำเป็นต้องเปิดหน้าตรงนี้ เพราะมีคนเป็นห่วงนับว่าผมหายใจกี่ครั้ง เสียเวลาเปล่ามานั่งนับไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่ผมก็ไม่ได้แพร่เชื้ออะไรใคร วันนี้ขออนุญาตเปิดคลิปเพื่อให้เห็นสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้น และเป็นการรับฟังจากประชาชนมาเกี่ยวกับเรื่องการทำงานของรัฐบาล รัฐมนตรี และการชื่นชมแพทย์ พยาบาล และเราดูภาพที่ไม่ดีมามากพอสมควร

นายกรัฐมนตรี

คลิปดังกล่าวเป็นเรื่องดี ๆ ที่ประชาชนต่างฝ่ายต่างรักประชาชนทั้งคู่ อะไรที่เป็นปัญหาเราก็แก้ไขไป อะไรที่เรียกกลับมาไม่ได้ ก็ต้องเอามาพิจารณาว่าจะทำอย่างไรต่อไป วันนี้รัฐบาลไม่ได้ทอดทิ้งใคร และโควิดก็เหมือนคลื่นพายุลมแรง ถึงจะแรงมากที่พักผ่านเข้าไปในพื้นที่ด้วยขนาดของกำลังลมที่แตกต่างกัน และได้แพร่กระจายไปทั่วบริเวณของโลกใบนี้ และคลื่นนี้ก็ยังคงเป็นคลื่นลมแรงที่ยังไม่มีวี่แววเด่นชัดว่าจะสงบลงเมื่อไหร่ ประเทศไทยนั้นนับว่าเป็นประเทศลำดับแรก ๆ ที่เจอกับพายุโควิด และเราก็ได้พบเจอคลื่นขนาดต่าง ๆ จนถึงวันนี้ที่เราประสบคลื่นขนาดใหญ่ แต่ยังไม่ใช่คลื่นขนาดยักษ์เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศทั่วโลก ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่

นายกรัฐมนตรี

ยันไม่ใช่ประเทศที่รับมือโควิดแย่สุด

ผมขอยืนยันว่า ประเทศไทยจะไม่เป็นประเทศที่รับมือโควิดในเวลานี้แย่ที่สุด และคิดว่าเราจะรับมือได้ในระดับที่ดี เต็มกำลังความสามารถของทุกฝ่าย ทั้งสาธารณสุข ความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ เจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่ทำงานอย่างเสียสละฝ่ายประชาชนก็ร่วมมือกับมาตราการที่รัฐกำหนดเป็นอย่างดี ขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่ให้ความเข้าใจและร่วมมือกันในการจะรวมพลังกันฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปพร้อม ๆ กัน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ส่วนข้อกล่าวหาว่าการมีคนตายเพราะโรคระบาดโควิดเท่ากับรัฐบาลค้าความตายนั้น ตนว่าไม่เป็นธรรม และเป็นอันตราย เหตุใดจึงไม่พิจารณากลับด้านดูบ้างว่าทุกวันนี้ อัตราการหายป่วยของไทยมากกว่า 85% ต่อผู้ติดเชื้อในประเทศ มีผู้ป่วยสะสม 1.23 ล้านคน หายป่วยไปแล้ว 1.05 ล้านคน ท่านไม่เคยพูด และจากการที่ผู้ติดเชื้อหายป่วยก็ด้วยความเสียสละ ความร่วมมือ ความทุ่มเท ของบุคคลากรทางการแพทย์ด้านน้าและหน่วยสนับสนุนทั้งประเทศ และความร่วมมือของทุกคน และวัคซีน การบริหารงานของรัฐบาล ที่มีมาตรการต่าง ๆ ออกมาตามลำดับ ตลอดจนภาคเอกชน จิตอาสาต่าง ๆ ที่ร่วมกันมือช่วยกันรักษาชีวิตประชาชน ได้มากกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของโลกถึง 2 เท่า

นายกรัฐมนตรี

ดังนั้น จึงขอชวนให้ทุกคนคิดและมองไปข้างหน้าว่าเราไม่อาจตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวจนไม่กล้าที่จะทำอะไรเลย และเราไม่อาจจะกลับไปใช้ชีวิตที่เหมือนเดิมได้อีกต่อไป จึงจำเป็นต้องปรับตัวจำเป็นต้องหาแนวทางใหม่ในการข้ามพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน มีแนวทางการควบคุมโรคแนวใหม่ที่สมดุลกับการดำเนินชีวิต ปลอดภัยจากโควิด

เตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ส่วนด้านเศรษฐกิจช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปีนี้รัฐบาลได้เตรียมการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการคนละครึ่ง ยิ่งใช้ยิ่งได้ และการจ้างงานเพื่อรองรับคนว่างงานและนักศึกษาจบใหม่ โดยทุกมาตรการจะดำเนินการอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ หัวใจสำคัญ คือ การสร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ ขยายโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงสวัสดิการอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง

นายกรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตาม ปี 2564 เป็นปีแห่งความท้าทายเนื่องจากเป็นปีที่จะประคับประคองเศรษฐกิจท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์โควิด ทุกคนควรใช้โอกาสนี้เดินหน้าประเทศ โดยยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลที่จะเดินหน้าต่อจากนี้ ประกอบด้วย การต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนในภูมิภาค การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อต่อสู้กับสภาวะโลกร้อน อุตสาหกรรมเดิมต้องเข้มแข็ง การสร้างภูมิคุ้มกันและแต้มต่อให้ SMEs เพื่อสร้างโอกาสด้านต่างๆ สร้างการจ้างงาน การปฏิรูปและการพัฒนาระบบการบริหารงานภาครัฐ

“เราชาวไทยเชื่อว่าฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ แม้จะไม่มีใครบอกได้ว่าวิกฤตโควิดจะสิ้นสุดลงเมื่อใด แต่ความหวัง ความศรัทธา จะเป็นพลังสำคัญให้เราก้าวข้ามความยากลำบากได้ พร้อมกับความรักและความสามัคคีของคนในชาติก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนไปสู่จุดหมายร่วมกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo