Politics

‘พิธา’ ลั่น จะเป็นรัฐบาลเพื่อประชาชน สร้างความเท่าเทียมในประเทศ ทัดเทียมระดับโลก

บีบีซี สัมภาษณ์พิเศษ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ประกาศตัวเป็น “นายกรัฐมนตรีที่แตกต่าง” เพื่อคนไทย

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ใช่นักการเมืองทั่วไปที่คนไทยอาจคุ้นเคย

ในประเทศที่อายุเฉลี่ยของคณะรัฐมนตรี อยู่ที่ 65 ปี ในประเทศที่การให้ความเคารพผู้อาวุโสถูกมองว่าเป็นประเพณีที่ดีงาม เมื่อหันมามองหัวหน้าพรรคก้าวไกลคนนี้ เขาดูอายุน้อยกว่าอายุจริงวัย 42 ปี พร้อมด้วยความมั่นใจที่แสดงออกมาเต็มเปี่ยม เสริมให้ตัวเขายิ่งดูโดดเด่น

พิธา

ภายหลังผลการเลือกตั้งที่เรียกว่า “หักปากกาเซียน” เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา และสร้างความตื่นตะลึงต่อขั้วอนุรักษนิยม ที่ครอบงำการเมืองไทยมาตลอดประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ชัยชนะนี้ของก้าวไกล ทำให้ พิธา ขึ้นแท่นเป็นนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุดในรอบ 30 ปี

ตอนนี้ พรรคก้าวไกล กำลังเจรจาอย่างเข้มข้นกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย (พท.) ซึ่งเป็นพรรคที่ชนะเลือกตั้งมากสุดเป็นลำดับที่ 2 จากเดิมที พท. ชนะเลือกตั้งมาตลอด 22 ปีที่ผ่านมา และเดิมทีผู้สังเกตการณ์ก็คาดว่า พท. จะชนะเลือกตั้ง 2566 เช่นกัน

ผมแตกต่าง เราไม่ได้แค่จับมือร่วมรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาเร็ว ๆ หรือทำให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ผมจะเป็นรัฐบาลเพื่อประชาชน โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว

“คุณไม่ต้องเป็นผู้นำที่แข็งกร้าว เต็มเปี่ยมด้วยภาวะชายเป็นพิษ เพื่อให้ทุกคนต้องมาฟังผม และผมต้องโดดเด่นอยู่ตลอดเวลา” 

“ผมไม่ต้องสมบูรณ์แบบตลอดเวลา ผมเป็นแค่มนุษย์ที่อ่อนน้อมคนหนึ่งในไทย ชอบขับมอเตอร์ไซค์ กินอาหารริมถนนเหมือนคนอื่น  ๆ”

แต่เส้นทางชีวิตของพิธา ไม่เหมือนคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ เขาเติบโตมาในครอบครัวที่มั่งคั่ง

เขาเล่าให้ฟังว่า ตอนเป็นวัยรุ่น เขาอาศัย และศึกษาในประเทศนิวซีแลนด์ กลับมาเรียนปริญญาตรีในไทย และทำงานอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะไปศึกษาต่อปริญญาโทในสหรัฐแล้วกลับมาสืบทอดกิจการน้ำมันรำข้าวของที่บ้านต่อ ก่อนกลายเป็นเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทแกร็บ

พิธา มองว่า ประสบการณ์เหล่านี้เองที่บ่มเพาะให้เขาเตรียมตัวสู่การเป็นนักการเมือง เขายังชื่นชมผู้นำติดดินอย่าง อดีตนายกรัฐมนตรี จาซินดา อาร์เดิร์น ของนิวซีแลนด์ และ โฮเซ่ “เปเป้” มูฆิกา อดีตประธานาธิบดีอุรุกวัย

พิธา

แต่เป้าหมายของก้าวไกลไม่ได้ติดดิน เหมือนไลฟ์สไตล์ที่พิธาชื่นชม เพราะก้าวไกลถือว่ามีเป้าหมายทางการเมืองที่ทะเยอทะยานมากกว่าพรรคการเมืองใด ๆ ในประวัติศาสตร์การเลือกตั้ง

จากนโยบาย 300 ข้อที่ก้าวไกลเสนอต่อประชาชน รวมถึงสมรสเท่าเทียมสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ ยุติการเกณฑ์ทหาร ขจัดทุนผูกขาด และยกเครื่องการศึกษาไทย ให้เหมาะสมกับเศรษฐกิจศตวรรษที่ 21

พรรคก้าวไกลมีแผนจะรื้อรัฐธรรมนูญที่ร่างโดยกองทัพ และทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ที่กองทัพมีส่วนได้ประโยชน์ มาอยู่ใต้การบริหารงบประมาณของกระทรวงการคลัง

ถึงเวลายุติวงจรการรัฐประหาร ถึงเวลายุติการคอร์รัปชันทางการเมือง ที่เปิดประตูสู่การรัฐประหารเสียที

แต่นโยบายที่ตกเป็นประเด็นถกเถียงมากที่สุด คือ การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งพิธา ระบุว่า ก้าวไกลได้คะแนนเสียงจากประชาชน 14 ล้านคน ประชาชนเข้าใจดี เพราะพรรคชัดเจน และโปร่งใส ว่านี่เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เราต้องการผลักดัน

หัวหน้าพรรคก้าวไกลเชื่อว่า พรรคร่วมรัฐบาล 8 พรรค รวม 312 เสียงจาก 500 เสียงในสภาผู้แทนราษฎร จะได้เสียงสนับสนุนอีกไม่ต่ำกว่า 64 เสียงจาก ส.ว. เพื่อให้ได้เสียงข้างมากเกิน 376 เสียงในที่ประชุมร่วมรัฐสภา

พิธา

พร้อมกันนี้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ให้สัญญาถึงนโยบายต่างประเทศของไทยในทิศทางใหม่ ซึ่งรัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกมองว่า มีบทบาทน้อยในด้านการต่างประเทศ แต่ถ้าพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี gขาระบุว่า ไทยต้องเข้าหาประชาคมโลกให้มากขึ้นอย่างแน่นอน

“ไทยต้องปรับสมดุล แสดงออกให้มากขึ้น และเลือกอยู่ฝ่ายเดียวกับระเบียบโลกที่ยึดหลักกฎหมาย ถ้าเราไม่พูด มันก็ไม่มีน้ำหนัก ในนโยบายต่างประเทศ ปัญหาหลายอย่างของไทย ไม่ว่าจะเศรษฐกิจ มลพิษทางอากาศ ราคาปุ๋ย ล้วนมาจากที่อื่น ๆ ในโลก” 

รัฐบาลภายใต้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ระบุว่า จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับชาติสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาสงครามกลางเมืองในเมียนมา และเขาจะพยายามส่งสิ่งบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรมข้ามพรมแดนไทย-เมียนมา ให้มากขึ้น

แต่ความท้าทายที่ว่าที่นายกรัฐมนตรีต้องเผชิญนั้น ถือว่าน่าหวาดหวั่น ไม่ว่าจะ ส.ว. ที่ตั้งข้อกังขา การต้องเจรจาให้สำเร็จกับพรรคเพื่อไทย ที่มีทีมเจรจามากประสบการณ์มากกว่า

พรรคเพื่อไทยต้องการโควตากระทรวงสำคัญ ๆ หรือที่เรียกว่า “กระทรวงเกรดเอ” รวมถึงประธานสภาผู้แทนราษฎรด้วย ซึ่งพิธาเองมองว่า ตำแหน่งประธานสภาฯ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อผ่านกฎหมายต่าง ๆ ที่พรรคก้าวไกลให้คำมั่นไว้กับประชาชน

แต่พรรคก้าวไกล ประกอบด้วยสมาชิกส่วนใหญ่ที่เป็นว่าที่ ส.ส. ครั้งแรก บางคนอายุยังไม่ผ่านเกณฑ์ 35 ปี เพื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และบางคนยังเผชิญคดีความทางอาญาร้ายแรง จากการเคลื่อนไหวทางการเมืองในอดีต 

จุดยืนพรรคเพื่อไทย ที่คล่องตัวกว่า และไม่แตะเรื่องสถาบันกษัตริย์ ทำให้ พท. สามารถร่วมรัฐบาลกับพรรคอื่น ๆ ได้ รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลในสมัย พล.อ.ประยุทธ์

พิธา

แต่พรรคก้าวไกลปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น เพราะชนะคะแนนเสียงมาได้ จากคำมั่นสัญญา “มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง”

พิธา เชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นก้าวไกล หรือ พท. ต่างก็ไม่สามารถถอนตัวจาก “พรรคร่วมรัฐบาลในฝันและความหวัง” ได้ เพราะราคาที่ต้องจ่าย จากการทำลายความหวังและความฝันของประชาชน มีราคาที่สูงมาก

แม้ภาระความรับผิดชอบจะหนักอึ้งอยู่บนบ่า แต่ พิธา ก็ยังแบ่งเวลาเพื่ออยู่กับครอบครัว และมีทัศนคติที่ยังมองโลกในแง่ดีว่า ทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทิศทางของมัน

“ผมไม่อยากเหมือนนักการเมืองไทยคนอื่น ๆ ที่ต้องมาแก่งแย่งตำแหน่งทั้งที่อายุ 70-80 ปีแล้ว ผมอยากเป็นนักการเมืองไปสักประมาณ 10 ปี จากนั้นก็ไปทำอย่างอื่นต่อ”

แล้ว พิธา มองว่าหากได้เป็นรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีจนครบสมัย 4 ปี เขาอยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร

“ประเทศที่กระจายอำนาจ ไม่รวมศูนย์  กรุงเทพฯ ไม่ใช่ประเทศไทย ประเทศไทยไม่ได้มีแค่กรุงเทพฯ ประเทศที่มีความเท่าเทียมในด้านบริการสาธารณสุข และการศึกษา ความเท่าเทียมด้านงบประมาณ ด้านการจัดเก็บภาษี นั่นคือสิ่งที่ผมอยากเห็นไทยเป็นเหมือนประเทศอื่น ๆ ที่ผมอยากไป อย่างอังกฤษ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส”

“เท่าเทียมในประเทศ แต่ทัดเทียมระดับโลก นั่นคือสิ่งที่ผมอยากเห็นประเทศไทยก้าวไปถึง ในสมัยแรกจากสองสมัยภายใต้การนำของผมในฐานะนายกรัฐมนตรี”

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo