General

สธ.สั่งเฝ้าระวังไข้เลือดออก! เผยปีนี้ป่วยแล้ว 305 ราย เสียชีวิต 2 ราย

กรมควบคุมโรค สั่งเฝ้าระวัง “ไข้เลือดออก” ล่าสุดพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นทุกภาคทั่วประเทศ ตั้งแต่ต้นปีพบป่วยแล้ว 305 ราย เสียชีวิต 2 ราย

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จัดทำพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพรายสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 20-26 กุมภาพันธ์ 2565 โดยคาดว่าในช่วงนี้มีโอกาสพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นทุกภาคทั่วประเทศ เนื่องจากมีฝนตกในหลายพื้นที่ ทำให้เกิดน้ำขังตามภาชนะและวัสดุต่าง ๆ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของลูกน้ำยุงลาย ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไข้เลือดออก โดยส่วนใหญ่กลุ่มผู้ป่วยที่พบในช่วงนี้เป็นเด็กวัยเรียน แต่ผู้ที่ติดเชื้อโรคไข้เลือดออก และเสี่ยงต่อการเสียชีวิตคือ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง และกลุ่มผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์

ไข้เลือดออก

ในขณะที่จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์โรคไข้เลือดออกในปี 2565 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 9 กุมภาพันธ์ พบผู้ป่วย จำนวน 305 ราย เสียชีวิต 2 ราย ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวน 112 ราย กลุ่มอายุพบมากที่สุดคือ อายุ 5-14 ปี รองลงมา อายุ 15-24 ปี จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ กรุงเทพมหานคร โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกที่สำคัญ ได้แก่ มีโรคประจำตัว และการได้รับยา NSAIDs (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs)

ดังนั้น กรมควบคุมโรคจึงขอความร่วมมือประชาชนสำรวจแหล่งน้ำขังที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายบริเวณรอบบ้าน ตามมาตรการ

3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค คือ

  1. เก็บบ้านให้ปลอดโปร่ง ไม่มีบริเวณอับทึบให้ยุงลายเกาะพัก
  2. เก็บขยะที่อยู่บริเวณรอบบ้าน เก็บเศษภาชนะที่ไม่ต้องการทิ้งไว้ในถุงดำมัดปิดปากถุง และนำไปทิ้งลงถังขยะ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
  3. เก็บน้ำ ภาชนะที่ใส่น้ำเพื่ออุปโภคบริโภค ต้องปิดฝาให้มิดชิด ล้างคว่ำภาชนะไม่ใช้ และเปลี่ยนน้ำในกระถางหรือแจกันทุกสัปดาห์ ใส่ทรายกำจัดลูกน้ำหรือปล่อยปลากินลูกน้ำในภาชนะที่ปิดฝาไม่ได้ ป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่ และเน้นการป้องกันไม่ให้ยุงกัด โดยทายากันยุง และนอนในมุ้ง

ซึ่งจะทำให้สามารถป้องกันได้ 3 โรค คือ

  1. โรคไข้เลือดออก
  2. โรคติดเชื้อไวรัสซิกา
  3. โรคไข้ปวดข้อยุงลายหรือโรคชิคุนกุนยา

ไข้เลือดออก

สังเกตอาการตัวเอง!

ทั้งนี้ หากประชาชนมีอาการป่วย เช่น มีไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หายใจเหนื่อยหอบ เบื่ออาหาร ปวดท้อง ซึ่งอาจมีลักษณะคล้ายกันหลายโรค ทั้งไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก และโรคโควิด-19 ขอให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย 100% รับประทานยาลดไข้ 1-2 วัน โดยให้เลือกรับประทานยาแก้ไข้พาราเซตามอล หลีกเลี่ยงการรับประทานยากลุ่มเอ็นเสด เช่น ยาไอบูโปรเฟน แอสไพริน หรือยาแก้ปวดไดโคลฟีแนค เพราะถ้าหากเป็นไข้จากโรคไข้เลือดออก ยากลุ่มนี้จะมีฤทธิ์ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารส่งผลทำให้การรักษายุ่งยาก และเสี่ยงต่อการทำให้มีอาการหนักมากยิ่งขึ้น หากทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยโรคหาสาเหตุว่าเกิดจากโรคอะไรและรับการรักษาต่อไป

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo