สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค ประจวบฯ ตรวจสอบคราบน้ำมันบ้านกรูด ประจวบคีรีขันธ์ พบเป็นเพียงแพลงก์ตอนบลูม ไม่พบคราบน้ำมันรั่วไหลจากเหตุการณ์เรืออับปาง จ.ชุมพร
จากภาพที่ปรากฎเป็นข่าวว่ามีคราบน้ำมันเกิดขึ้นในพื้นที่ ต.บ้านกรูด อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ นั้น สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาประจวบคีรีขันธ์ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบคราบดังกล่าว ปรากฏว่าไม่ใช่คราบน้ำมันที่รั่วไหลจากเหตุการณ์เรืออับปาง จังหวัดชุมพร แต่อย่างใด
สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาประจวบคีรีขันธ์ ลงพื้นที่ตรวจสอบ พบเป็นเพียงการเกิดแพลงก์ตอนบลูม ทำให้น้ำทะเลมีสีเขียวมีกลิ่นคาวคล้ายพืชทะเลเน่าเหม็น
จากการตรวจสอบพื้นที่ชายหาดหลาย ๆ พื้นที่ โดยรอบ พบการเกิดแพลงก์ตอนบลูมในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน
กรมเจ้าท่า ได้ทำการประสาน ศรชล.จังหวัดประจวบฯ และมีการไปตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า เป็นเพียงแพลงก์ตอนบลูม ไม่มีคราบน้ำมันปนเปื้อนแต่อย่างใด
แพลงก์ตอนบลูม เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นทุกปี โดยในระยะ 3 – 5 ปี ที่ผ่านสามารถพบเห็นได้ประจำ ปีละประมาณ 2 – 3 ครั้ง
ในปี 2562 ที่ผ่านมาบริเวณชายหาดบางแสน ก็เคยประสบเหตุการณ์แพลงก์ตอนบลูม ส่งผลให้น้ำทะเลเปลี่ยนสีมาแล้วประมาณ 4 ครั้ง คือ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม กรกฏาคม และสิงหาคม
สาเหตุสำคัญของการเกิดแพลงตรอนบลูม มาจากการปล่อยน้ำเสียจากชุมชนลงสู่ทะเลจนทำให้แพลงก์ตอนได้รับสารอาหารและเกิดการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และเมื่อออกซิเจนในน้ำทะเลหมดลง แพลงก์ตอนก็จะตายจนทำให้น้ำทะเลกลายสีเขียว หรืออาจเป็นช่วงที่เปลี่ยนฤดูจึงเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวขึ้น
อย่างไรก็ตาม น้ำทะเลที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวหรือแพลงก์ตอนบลูมไม่เป็นอันตรายต่อผู้ที่ลงเล่นน้ำทะเล เพียงแต่อาจทำให้นักท่องเที่ยวไม่กล้าลงเล่นน้ำ เนื่องจากบางจุดจะมีกลิ่นเหม็นคาวรุนแรง และหวั่นว่าจะเกิดผลกระทบต่อผิวหนัง
หากบางคนผิวแพ้ง่ายอาจทำให้มีผื่นคันได้ อย่างไรก็ตามปรากฏการณ์ดังกล่าวคาดว่าหากมีลมทะเลพัดแรงเพียง 4 – 7 วัน ก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘อธิรัฐ’ สั่งกรมเจ้าท่าเร่งขจัดคราบน้ำมัน
- กนอ.เร่งตรวจสอบน้ำมันรั่ว พร้อมวางแผนป้องกันเกิดเหตุซ้ำ
- กรมอุทยานฯ ตรวจสอบน้ำมันรั่ว หวั่นกระทบอุทยานเขาแหลมหญ้าฯ