General

ศธ. แจงต้นเหตุ ‘คะแนน PISA’ เด็กไทยตกต่ำ

ศธ.แจงต้นเหตุคะแนน PISA เด็กไทยตกต่ำ ย้ำปี 2568 ผลประเมินต้องอยู่ในลำดับที่ดีขึ้น

ที่กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงศึกษาธิการ(รมช.ศธ.) เป็นประธานแถลงผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (PISA) โดยมีนายธีระเดช เจียรสุขสกุล ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เข้าร่วม

ตกต่ำ

นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า การสอบ PISA จัดโดยองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) เป็นการวัดผลความฉลาดรู้ หรือ Literacy ใน 3 ด้าน ได้แก่ การอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์

สำหรับผล PISA ที่ออกครั้งนี้เป็นการวัดผลเมื่อปี 2565 และประกาศผลในปี 2566 ซึ่งผลคะแนนค่อนข้างต่ำ โดยพล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เชิญ สสวท. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม มาหารือเรื่องนี้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับผลคะแนน

เท่าที่ได้รับรายงานเบื้องต้น ที่ทำให้คะแนนประเมิน PISA ต่ำลง ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 รวมถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำที่มีอย่างต่อเนื่อง และการเข้าถึงเทคโนโลยีที่อาจจะยังไม่ทั่วถึง เหมือนประเทศอื่น ๆ ที่ส่งผลให้คะแนน PISA ต่ำลง

ขณะนี้ ยอมรับว่า ทุกอย่างเป็นปัญหา และสะท้อนผลการศึกษาของประเทศ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างเข้มข้น และกำชับว่า ในการสอบครั้งต่อไป ที่จะมีขึ้นในปี 2568 นั้น ผลประเมินจะต้องอยู่ในลำดับที่ดีขึ้น

353872 0

ด้านนายธีระเดช กล่าวว่า PISA ประเมินนักเรียนอายุ 15 ปี ซึ่งถือว่าเป็นวัยที่สำเร็จการศึกษาภาคบังคับ โดยได้ทำการประเมินทุก 3 ปี อย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงคุณภาพการศึกษา และมุ่งให้ข้อมูลแก่ระดับนโยบาย

PISA เน้นการประเมินสมรรถนะของนักเรียนเกี่ยวกับการใช้ความรู้ และทักษะในชีวิตจริงมากกว่าการเรียนรู้ตามหลักสูตรในโรงเรียน  โดยการประเมิน PISA ในปี 2565 มีนักเรียนเข้าร่วมการประเมินประมาณ 690,000 คน ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของนักเรียนอายุ 15 ปี ประมาณ 29 ล้านคน จาก 81 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ

สำหรับในประเทศไทย สสวท. ทำหน้าที่เป็นศูนย์แห่งชาติ ดำเนินการจัดสอบเมื่อเดือนสิงหาคม 2565  ซึ่งมีนักเรียนกลุ่มตัวอย่างเข้าร่วมการประเมินจาก 279 โรงเรียน ในทุกสังกัดการศึกษา รวม 8,495 คน นักเรียนทำแบบทดสอบ และแบบสอบถามด้วยคอมพิวเตอร์ ผ่านทางแฟลชไดรฟ์ ทั้งยังมีการเก็บข้อมูลจากผู้บริหารโรงเรียนผ่านทางแบบสอบถามออนไลน์ด้วย

สำหรับผลการประเมิน PISA ในระดับนานาชาติ พบว่า นักเรียนจากสิงคโปร์มีคะแนนเฉลี่ยทั้งด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่านสูงกว่าทุกประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่เข้าร่วมการประเมินในครั้งนี้

ส่วนประเทศที่มีคะแนนสูงสุดห้าอันดับแรกในด้านคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นด้านที่เน้นในรอบการประเมินนี้เป็นประเทศ/เขตเศรษฐกิจในเอเชียทั้งหมด ได้แก่ สิงคโปร์ มาเก๊า จีนไทเป ฮ่องกง และญี่ปุ่น

ขณะที่ ประเทศสมาชิกโออีซีดี มีคะแนนเฉลี่ยด้านคณิตศาสตร์ 472 คะแนน ด้านวิทยาศาสตร์ 485 คะแนน และด้านการอ่าน 476 คะแนน  ซึ่งเมื่อเทียบกับ PISA 2018 พบว่า ค่าเฉลี่ยของประเทศสมาชิกโออีซีดี ด้านคณิตศาสตร์และการอ่านลดลง ส่วนด้านวิทยาศาสตร์ถือว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางสถิติ

ผลการประเมินของประเทศที่ได้คะแนนด้านคณิตศาสตร์สูงสุด 10 อันดับแรก และผลการประเมินของประเทศในกลุ่มอาเซียน เป็นดังนี้

  • สิงคโปร์ 
  • มาเก๊า
  • จีนไทเป
  • ฮ่องกง
  • ญี่ปุ่น
  • เกาหลี
  • เอสโตเนีย
  • สวิตเซอร์แลนด์ 
  • แคนาดา
  • เนเธอร์แลนด์

ผลการประเมิน PISA ของประเทศไทย พบว่า นักเรียนไทยมีคะแนนเฉลี่ยด้านคณิตศาสตร์ 394 คะแนน ด้านวิทยาศาสตร์ 409 คะแนน และด้านการอ่าน 379 คะแนน ซึ่งทุกวิชามีผลคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโออีซีดี โดยคะแนนเฉลี่ย ด้านคณิตศาสตร์ อยู่ที่ 472 ด้านวิทยาศาสตร์ 485  การอ่าน 476

เมื่อเทียบกับ PISA  เมื่อปี 2561 พบว่า คะแนนเฉลี่ยของประเทศไทยทั้ง 3 ด้านลดลง โดยด้านคณิตศาสตร์มีคะแนนเฉลี่ยลดลง 25 คะแนน  ส่วนด้านวิทยาศาสตร์และการอ่าน มีคะแนนเฉลี่ยลดลง 17 คะแนน และ 14 คะแนน ตามลำดับ

ทั้งนี้ ผลการประเมินของประเทศไทยตั้งแต่ PISA ปี 2543 จนถึง PISA ปี 2565 พบว่า คะแนนเฉลี่ยด้านคณิตศาสตร์ และการอ่านมีแนวโน้มลดลง  ส่วนด้านวิทยาศาสตร์ถือว่าไม่เปลี่ยนแปลงทางสถิติ

เมื่อวิเคราะห์ตามสังกัดการศึกษา และกลุ่มโรงเรียนที่เข้าร่วมการประเมินครั้งนี้ พบว่า กลุ่มโรงเรียนที่เน้นการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ยทั้ง 3 ด้านอยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มประเทศ/เขตเศรษฐกิจ ที่มีคะแนนคณิตศาสตร์สูงสุด 5 อันดับแรก

ส่วนกลุ่มโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยมีคะแนนเฉลี่ยด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศสมาชิกโออีซีดี สำหรับกลุ่มโรงเรียนอื่น ๆ ยังคงมีคะแนนเฉลี่ยทั้ง 3 ด้าน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศสมาชิกโออีซีดี

353875

จากการเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยระหว่างนักเรียนกลุ่มสูง (มีคะแนนตั้งแต่เปอร์เซ็นไทล์ที่ 90 ขึ้นไป) กับนักเรียนกลุ่มต่ำ (มีคะแนนต่ำกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 10) ของประเทศไทยในทั้ง 3 ด้าน พบว่า นักเรียนทั้ง 2 กลุ่ม มีคะแนนเฉลี่ยในแต่ละด้านแตกต่างกันประมาณ 200 คะแนน

เมื่อเทียบกับ PISA ปี 2561 พบว่า ความแตกต่างของคะแนนด้านการอ่าน และด้านวิทยาศาสตร์ของนักเรียนทั้ง 2 กลุ่มนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนด้านคณิตศาสตร์มีช่องว่างของคะแนนที่แคบลง เนื่องจากนักเรียนกลุ่มสูง มีคะแนนเฉลี่ยลดลงมากกว่าของนักเรียนกลุ่มต่ำ

สำหรับนักเรียนกลุ่มช้างเผือก ซึ่งเป็นนักเรียนที่มีสถานะทางเศรษฐกิจ และสังคมอยู่ในกลุ่มล่างสุดของประเทศ (ต่ำกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 25) แต่มีคะแนนคณิตศาสตร์อยู่ในกลุ่มบนสุดของประเทศ (เปอร์เซ็นไทล์ที่ 75 ขึ้นไป) พบว่า ประเทศไทยมีนักเรียนกลุ่มช้างเผือกอยู่ 15% ในขณะที่ประเทศสมาชิกโออีซีดี  มีนักเรียนกลุ่มนี้อยู่ 10%  จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า นักเรียนที่ด้อยเปรียบทางสถานะทางเศรษฐกิจ และสังคมก็สามารถมีผลการประเมินที่ดีได้

นอกจาก PISA จะรายงานผลการประเมินในรูปของคะแนนเฉลี่ยแล้ว ยังรายงานผลเป็นระดับความสามารถในแต่ละด้านซึ่งแบ่งเป็น 6 ระดับ โดยที่ระดับ 2 ถือเป็นระดับพื้นฐาน ที่นักเรียนสามารถใช้ทักษะและความรู้ในชีวิตจริงได้

ผลการประเมินครั้งนี้ พบว่า นักเรียนไทยที่มีความสามารถทางคณิตศาสตร์ตั้งแต่ระดับ 2 ขึ้นไปอยู่ 32% ในขณะที่ประเทศสมาชิกโออีซีดี มีนักเรียนกลุ่มนี้อยู่ 69%  ส่วนประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีผลการประเมินสูง ได้แก่ สิงคโปร์ มาเก๊า ญี่ปุ่น จีนไทเป และเอสโตเนีย พบว่า มีนักเรียนมากกว่า 85% ที่มีความสามารถทางคณิตศาสตร์ตั้งแต่ระดับ 2 ขึ้นไป

คะแนน PISA

ด้านวิทยาศาสตร์และการอ่าน ประเทศไทยมีนักเรียนที่มีความสามารถตั้งแต่ระดับ 2 ขึ้นไปอยู่ 47% และ 35% ตามลำดับ ส่วนประเทศสมาชิกโออีซีดี มีนักเรียนที่มีความสามารถตั้งแต่ระดับ 2 ขึ้นไปอยู่ 76% และ 74% ตามลำดับ

ขณะที่นางสุพัตรา ผาติวิสันติ์ รองผู้อำนวยการ สสวท. กล่าวว่า สสวท. พยายามจะร่วมมือการหน่วยงานที่มีสถานศึกษาในสังกัด เพื่อจะทำให้นักเรียนมีความคุ้นเคยกับข้อสอบ เพื่อให้เด็กฝึกผ่านระบบออนไลน์ และอบรมครู ร่วมกับกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยทั้ง 13 แห่ง เพื่อขยายผลให้กับครูในโรงเรียนขยายโอกาส

อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า ข้อสอบ PISA ในครั้งที่ผ่านมายากขึ้น โดยเฉพาะในแง่ที่การเรียนรู้ของเด็ก อาจจะไม่ได้เต็มที่สมบูรณ์ในช่วงโควิด-19 และทำให้การใช้เหตุผล คิดวิเคราะห์ ที่ต้องได้จากห้องเรียนขาดหายไปบ้าง

โดยในการสอบปี 2568 ควรจะต้องส่งเสริมการเรียนรู้ในห้องเรียน เน้นการคิดวิเคราะห์ เพราะรอบต่อไปข้อสอบจะเน้นหนัก ความฉลาดรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และสิ่งแวดล้อมทั่วโลกเป็นหลัก

ทั้งนี้ จะต้องเริ่มปลูกฝังตั้งแต่ประถมศึกษา ส่วนเด็กที่จะสอบ PISA ในปี 2568 ปัจจุบัน กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งคงต้องมีการส่งเสริมพัฒนาอย่างเข้มข้น

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo