บอร์ด สปสช.เห็นชอบ 5 มาตรการ ช่วยลดภาระบุคลากรทางการแพทย์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พร้อมเตรียมหารือกระทรวงสาธารณสุข เชื่อมโยง API กับโรงพยาบาลโดยตรง
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา ที่ประชุมฯ ได้รับทราบมาตรการลดภาระบุคลากรทางการแพทย์ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีปัญหาภาระงานของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น แม้ สปสช. ไม่ได้มีหน้าที่จัดบริการโดยตรง แต่สิ่งที่เป็นข้อกำหนดจาก สปสช. อาจสร้างภาระให้กับบุคลากรทางการแพทย์
ดังนั้น สปสช. จึงได้จัดทำแนวทางการลดภาระงาน เบื้องต้นจะมี 5 มาตรการ ประกอบด้วย
1. พัฒนาชุดข้อมูลมาตรฐานสำหรับการเบิกจ่าย
2. เชื่อมโยง API (Application Programming Interface) ยกเลิกการบันทึกข้อมูล
3. ตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนส่งเสริมให้ประชาชนดูแลสุขภาพด้วยตนเอง
4. จัดให้มีกลไกหารือร่วมกับเครือข่ายผู้ให้บริการ ก่อนขยายสิทธิประโยชน์
5. ขยายบทบาทของ Contact center 1330 ในการประสานหาเตียงและส่งต่อผู้ป่วย
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะให้ สปสช. ร่วมหารือกับกระทรวงสาธารณสุขในการเชื่อมโยง API เพื่อยกเลิกการบันทึกข้อมูลอีกด้วย
ในส่วนของการพัฒนาชุดข้อมูลมาตรฐานสำหรับการเบิกจ่ายนั้น ภายใต้มาตรฐานชุดข้อมูลใหม่จะสามารถส่งข้อมูลครั้งเดียวด้วยโปรแกรมเดียว หน่วยบริการสามารถนำข้อมูลในระบบ HIS มาส่งเพื่อเบิกจ่ายได้โดยไม่ต้องบันทึกข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยให้ลดภาระงานในการบันทึกและส่งข้อมูลลงได้ 7 เท่า
เบื้องต้นการใช้มาตรฐานชุดข้อมูลใหม่นี้จะขึ้นอยู่กับความสมัครใจของโรงพยาบาล หากหน่วยบริการไหนยังไม่พร้อม ก็สามารถส่งข้อมูลในระบบเดิมได้
ขณะที่การเชื่อมโยง API ยกเลิกการบันทึกข้อมูล จะเป็นการเชื่อมโยง HIS ระหว่างโรงพยาบาลกับ สปสช. โดยตรงผ่าน API โดยจะนำร่องในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป ส่วนโรงพยาบาลอื่นที่มีความพร้อมก็สามารถเชื่อมต่อระบบกับ สปสช.ได้ทันที
สำหรับการตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนส่งเสริมให้ประชาชนดูแลสุขภาพด้วยตนเอง จะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง สปสช. กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ในการส่งเสริมให้ประชาชนดูแลสุขภาพตนเอง เพื่อลดการไปหน่วยบริการโดยไม่จำเป็น
ส่วนการจัดให้มีกลไกหารือร่วมกับเครือข่ายผู้ให้บริการก่อนขยายสิทธิประโยชน์ จะมีหลักการคือ ในกรณี สปสช.ได้รับข้อเสนอการเพิ่มสิทธิประโยชน์จากเครือข่ายต่าง ๆ หรือ ก่อนออกประกาศปรับปรุงขยายประเภทและขอบเขตบริการสาธารณสุขในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จะมีการหารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ชมรมแพทย์และสาธารณสุข เครือข่ายผู้ให้บริการ และผู้เกี่ยวข้องก่อน เพื่อเห็นชอบร่วมกัน หรือวางแผนการจัดการภาระงาน ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพบริการและขวัญกําลังใจของผู้ให้บริการ
มาตรการสุดท้าย การขยายบทบาทของ Contact center 1330 ในการประสานหาเตียงและส่งต่อผู้ป่วย เพราะบางครั้งโรงพยาบาลมีปัญหาเตียงไม่พอและมีภาระต้องหาเตียงให้คนไข้ สปสช. จึงให้สายด่วน 1330 ทำหน้าที่ประสานส่งต่อผู้ป่วย พร้อมทั้งมีการทำสัญญากับโรงพยาบาลเอกชนอีก 17 แห่ง เพื่อร่วมเป็นหน่วยบริการตามมาตรา 7 โดยมีเตียงสำรองไว้ 582 เตียง
การนำเสนอมาตรการครั้งนี้ ได้มีความเห็นจากกรรมการในที่ประชุม ในส่วนของการเชื่อมโยง API โดยตรงระหว่างโรงพยาบาล และ สปสช. อาจมีประเด็นในทางกฎหมาย เพราะสถานะนิติบุคคลนั้นอยู่ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ดังนั้นจึงต้องมีการหารือร่วมกันระหว่าง สปสช.และกระทรวงสาธารณสุขเพื่อพิจารณาในรายละเอียดอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้ฃขัดต่อกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล
หลังจากนี้ สปสช. จะนำเรื่องนี้ไปหารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขต่อไป และอาจส่งผลที่ดีโดย สปสช. ไม่ต้องไปเชื่อมต่อระบบทีละโรงพยาบาล แต่เชื่อมต่อระบบกับกระทรวงสาธารณสุขทีเดียว
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘อนุทิน’ ไฟเขียว สปสช. จัดงบสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค ให้คนไทยทุกคน
- สปสช.ย้ำไม่บังคับหน่วยบริการ ส่งข้อมูลเบิกจ่ายด้วยชุดข้อมูล 13 แฟ้ม
- ข่าวดีสิทธิบัตรทอง!! สปสช. ขยายหมอออนไลน์ ส่งยาถึงบ้าน ครอบคลุมปริมณฑล 5 จังหวัด