วุ่นแล้ว! พบผู้ติดเชื้อโอไมครอนรายแรกในไทย เปิดไทม์ไลน์หญิงไทยวัย 49 ปี

โดย WANPEN PUTTANONT 20 ธันวาคม 2564

ด่วน!! หญิงไทยวัย 49 ปีติดเชื้อโอไมครอนรายแรกของไทย สัมผัสเชื้อสามีเดินทางมาจากต่างประเทศ ล่าสุดไทยพบผู้ติดเชื้อโอไมครอนรวม 63 ราย

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดี กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ข้อมูลถึงเมื่อวานนี้ (19 ธันวาคม 2564) พบการติดเชื้อโอไมครอนแพร่กระจายไป 89 ประเทศและอีก 36 รัฐในสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะมีการขยายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และตัวเลขอาจมากกว่านี้ เนื่องจากบางประเทศไม่มีขีดความสามารถในการถอดรหัสพันธุกรรม

สำหรับประเทศไทย ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อโอไมครอนรายแรกในประเทศ เป็นคู่สามีภรรยา โดยสามีเป็นนักบิน สัญชาติโคลัมเบีย ได้รับวัคซีนแอสตร้าฯ 2 เข็ม มีประวัติโรคเบาหวาน

ติดเชื้อโอไมครอนรายแรก เปิดไทม์ไลน์ หญิงวัย 49 ปี

นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองโรคระบาด กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงรายละเอียดของผู้ติดเชื้อโอไมครอนรายแรกในไทยว่า เป็นหญิงไทย อายุ 49 ปี รับเชื้อมาจากสามีชาวโคลัมเบียอายุ 62 ปี อาชีพนักบิน เดินทางมาจากประเทศไนจีเรีย

ทั้งนี้ ได้เข้าประเทศไทยผ่านระบบ sandbox ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ก่อนมีการประกาศห้ามประเทศไนจีเรียเดินทางเข้าประเทศไทย ผลตรวจเบื้องต้น RT-PCR ไม่พบการติดเชื้อ จากนั้นอยู่ในระบบ sandbox ที่สามารถเดินทางออกนอกโรงแรมได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมกำกับ

ส่วนประวัติเดินทาง เช่ารถมอเตอร์ไซค์ไปตรวจตาที่ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ไม่พบเจอผู้อื่น มีประวัติไปซื้อของร้านค้าใกล้โรงแรม ทานข้าวเที่ยงที่ห้าง สวมหน้ากากตลอดเวลา

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 อยู่ในโรงแรม

วันที่ 1 ธันวาคม 2564 เข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ เข็ม 3 ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง จากนั้นเริ่มมีไข้ตัวร้อน จึงตรวจ ATK ผลเป็นลบ

วันที่ 2 ธันวาคม 2564 จึงไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง โดยผลตรวจไวรัสอื่นให้ผลลบทั้งหมด ผลเอกซเรย์ปอดปกติ เมื่ออยู่ในระบบ sandbox ครบ 7 วัน ตามโปรแกรมของการกักตัวที่โรงแรม ก็ไปส่งที่ห้าง

หลังจากนั้น ผู้ติดเชื้อคนดังกล่าวก็กลับบ้านที่ จังหวัดปทุมธานี อยู่กับภรรยา

วันที่ 4 ธันวาคม 2564 เริ่มมีอาการไข้ ไอเจ็บคอ อ่อนเพลีย มากขึ้น ตรวจ ATK ผลยังเป็นลบอยู่

วันที่ 7 ธันวาคม 2564 อาการเริ่มเหนื่อยมากขึ้นแต่ยังมีสติ เดินทางได้ จึงไปโรงพยาบาลที่ไปฉีดวัคซีน ผลตรวจ RT-PCR เป็นบวก สรุป ภรรยาที่เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงก็อยู่กักตัวที่บ้าน

วันที่ 10 ธันวาคม 2564 ไปตรวจ RT-PCR เป็นบวก วันเดียวกันนั้นผลของสามีออกมาว่าเป็นโอมิครอน จึงมีการตรวจหาโอมิครอนในภรรยาด้วย จากนั้นพบว่าเป็นโอไมครอนเช่นเดียวกัน และมีการยืนยันว่าเป็นโอไมครอนทั้งคู่

นอกจากนี้ ยังมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง คือ คนขับแท็กซี่พาไปส่งโรงพยาบาล ตรวจ RT-PCR ให้ผลลบ และอยู่ระหว่างการกักตัว 14 วัน และตรวจยืนยันครั้งที่ 2 คาดว่าผลออกพรุ่งนี้

เบื้องต้น อาการของสามีขณะที่อยู่ โรงพยาบาลมีอาการเชื้อลงปอด อาการหนักขึ้น แต่ไม่ได้ใส่ท่อช่วยหายใจ ล่าสุด อาการดีขึ้นแล้ว ส่วนภรรยา ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็มแล้ว และไม่มีอาการรุนแรง

สำหรับข้อมูลประเทศไทย ล่าสุด ช่วงบ่ายวานนี้ (19 ธ.ค.) การถอดรหัสพันธุกรรมในสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 11 – 19 ธันวาคม พบว่า เป็นเดลต้า 1,541 ราย เบต้า 1 ราย ขณะที่ สายพันธุ์โอไมครอน 52 ราย รวมของเดิม 9 ราย เป็น 63 ราย โดยในจำนวนนี้ เป็นการคอนเฟิร์มด้วยการตรวจยืนยัน 20 ราย คิดเป็น 0.13% ของสัดส่วนสายพันธุ์ในไทย

จะสังเกตเห็นได้ว่า ช่วงหลังโอไมครอนเพิ่มขึ้นค่อนข้างรวดเร็ว สัดส่วนที่ตรวจพบในไทยเพิ่มขึ้น 3% กว่าจากสัปดาห์ที่แล้วที่ไม่ถึง 1% ซึ่งยังเป็นการเดินทางเข้ามาจากต่างประเทศที่เราตรวจจับได้เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ

นพ.ศุภกิจ กล่าวสรุปว่า

1. เราพบผู้ติดเชื้อโอไมครอนเพิ่มค่อนข้างเร็วในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ของโลก อย่างเช่น อังกฤษเพิ่มขึ้นวันละแสนราย

2. ขณะนี้ ทุกรายยังมีความเชื่อมโยงจากการเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ยังไม่มี Index Case ในประเทศไทยที่อยู่ดีๆ โผล่มาเหมือนที่เราเจอ สายพันธุ์อัลฟา 6 รายที่ทองหล่อ ช่วงเดือน เมษายน 2564

หรือ กรณีพบสายพันธุ์เดลต้า 40-50 รายในแคมป์คนงานหลักสี่ ซึ่งก็ไม่ทราบว่ามาจากต่างประเทศหรือไม่ นั่นเป็นคลัสเตอร์ที่เกิดในไทย

อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อทั้งหมด 63 รายที่ตรวจพบ ก็ยังเป็นส่วนที่ถูกโยงจากการเดินทางมาจากต่างประเทศ

ดังนั้น จึงต้องชั่งน้ำหนักว่า ถ้าเรายังให้มีระบบ Test and go แบบเดิมก็จะมีกรณีที่หลุดแบบนี้ และถ้าหากไม่มีอาการป่วยอะไรก็อาจจะไปแพร่เชื้อสู้คนอื่นได้ นั่นก็จะเป็นคลัสเตอร์ในประเทศเกิดขึ้นได้ ซึ่งฝ่ายนโยบายต้องช่วยกันพิจารณาเรื่องนี้

อ่านข่าวเพิ่มเติม