“หมอเฉลิมชัย” เปิดข้อมูลยาต้านไวรัสโควิดตัวใหม่ “Paxlovid” จากค่ายไฟเซอร์ พบประสิทธิผลลดการป่วยหนักได้ถึง 89% เตรียมยื่น อย.สหรัฐ ขอใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินเดือนพฤศจิกายนนี้
นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ข้อความใน Blockdit ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย เผยข่าวดี ไฟเซอร์ ประกาศความสำเร็จของยาต้านไวรัสโควิดตัวใหม่ล่าสุด มีประสิทธิผลสูงถึง 89% โดยระบุว่า
Pfizer บริษัทยายักษ์ใหญ่สัญชาติสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเจ้าของวัคซีนป้องกันโควิดด้วยเทคโนโลยี mRNA
1. ได้เปิดเผยผลการศึกษายาต้านไวรัสตัวใหม่ชื่อว่า Paxlovid ( PZ-07321332) มีประสิทธิผลในการลดการป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลได้ถึง 89%
2. เป็นยาชนิดรับประทาน วันละ 2 ครั้ง จำนวน 5 วัน
3. จะยื่นขออนุมัติใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน (EUA) ต่ออย.สหรัฐฯ (USFDA)ในเดือนพฤศจิกายนนี้
4. นโยบายการค้าของ Pfizer จะขายยาในราคาไม่เท่ากัน ประเทศรายได้น้อยและประเทศรายได้ปานกลางจะมีราคายาถูกกว่าประเทศร่ำรวย
5. บริษัทได้ลงทุนวิจัยพัฒนายาไปกว่า 33,000 ล้านบาท
6. คาดว่าจะผลิตยาได้ในปีนี้ 1.8 แสนคอร์ส คอร์สละ 30 เม็ด และปีหน้าจะผลิตได้ 50 ล้านคอร์ส
เปิดรายละเอียด ยาต้านไวรัสโควิดตัวใหม่
รายละเอียดของยาที่น่าสนใจ
1. Paxlovid เป็นยาต้านไวรัส(Antiviral drug) ที่ก่อโรคโควิดคือไวรัสโคโรนาลำดับที่ 7 โดยตรงเป็นตัวที่ 2 ของโลก
โดยยาตัวแรกคือ ยาของบริษัท Merck (Molnupiravir) ซึ่งขณะนี้ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในประเทศอังกฤษเรียบร้อยแล้ว ในชื่อว่า Lagevrio และรอการอนุมัติจาก อย.สหรัฐ อยู่
2. กลไกการออกฤทธิ์ของยา เริ่มพัฒนามาจากยาเดิม ที่บริษัท Pfizer วิจัยขึ้น เพื่อรักษาโคโรนาไวรัสลำดับที่ 5 ที่ก่อให้เกิดโรค SARS และมีการระบาดในปี 2002 โดยเป็นยาฉีด
การพัฒนาครั้งนี้ นำมาใช้เพื่อต่อต้านไวรัสโคโรนาลำดับที่ 7 ซึ่งก่อโรคโควิด โดยเริ่มงานวิจัยมาตั้งแต่กรกฎาคม 2563
เป็นยากลุ่มยับยั้งเอนไซม์ ที่ใช้ในการเพิ่มจำนวนของไวรัส ทำให้ไวรัสเพิ่มจำนวนก่อโรคไม่ได้ ซึ่งยากลุ่มนี้ ได้ผลดีในการต้านไวรัสก่อโรคโรคเอดส์หรือเอชไอวี(HIV)มาแล้ว โดยมีขั้นตอนดังนี้
- ไวรัสจะเข้าไปในเซลล์มนุษย์
- สารพันธุกรรมของไวรัสคือ RNA จะแยกตัวออกมาจากไวรัส โดยยังอยู่ในเซลล์มนุษย์
- RNA จะทำการสร้างโปรตีน Polypeptide
- เอนไซม์ Protease จะมาตัด Polypeptide ให้เป็นท่อนเล็กๆเพื่อประกอบกันเป็นไวรัสตัวใหม่รุ่นลูก เป็นการเพิ่มจำนวนและก่อให้เกิดโรค
- ยาต้านไวรัส Paxlovid เป็นตัวยับยั้งเอนไซม์ดังกล่าว (Protease inhibitor) จึงทำให้ไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้
3. ผลการศึกษา เป็นการศึกษาในเฟส 2/3 ซึ่งยังไม่ได้ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ พบว่าได้ผลดีต่อไวรัสกลายพันธุ์ รวมทั้งสายพันธุ์เดลต้าด้วย
การให้ยารับประทานวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 เม็ด ร่วมกับยา Ritonavir ซึ่งจะออกฤทธิ์ชะลอการสลายตัวของยา Paxlovid ทำให้ยาออกฤทธิ์ได้นานขึ้น พบว่าถ้าให้ยาเร็วภายใน 3 วันแรกหลังติดเชื้อ ะมีประสิทธิผลสูงถึง 89%
โดยกลุ่มที่ได้รับยา 389 คน เข้าโรงพยาบาล 3 คน ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้รับยา 385 คน เข้าโรงพยาบาล 27 คน และถ้าให้ยาภายใน 5 วันหลังจากติดเชื้อ ประสิทธิภาพลงมาเล็กน้อยเป็น 85%
กลุ่มที่ได้รับยาต้องเข้าโรงพยาบาล 6 คนจาก 607 คน และกลุ่มที่ไม่ได้รับยาเข้าโรงพยาบาล 41 คนจาก 612 คน
ทั้งนี้กลุ่มที่ได้รับยา ไม่มีผู้เสียชีวิตส่วนกลุ่มที่ไม่ได้รับยาเสียชีวิตไป 10 คน
ยาที่ใช้รักษาโควิดในปัจจุบัน เริ่มต้นมาจากยาที่รักษาไวรัสสายพันธุ์ใกล้เคียงกับโคโรนาลำดับที่ 7 ที่ก่อโรคโควิด
1. ฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) เป็นยาชนิดรับประทาน
2. เรมเดสซิเวียร์ (Remdesivir) เป็นยาฉีด ของบริษัท Gilead Science Inc.
3. Monoclonal Antibody ของบริษัท Regeneron Phamaceutical Inc. และ Eli Lilly
4. สเตียรอยด์กลุ่มเด็กซ่าเมธาโซน(Dexamethasone)
5. ฟ้าทะลายโจร
ส่วนยาที่ออกฤทธิ์โดยตรงต่อโคโรนาไวรัสสำหรับที่ 7 ที่ก่อโรคโควิดตัวแรกคือ Molnupiravir ของบริษัท Merck ซึ่งได้ประกาศนโยบายสำคัญเป็นที่ชื่นชมของคนทั่วโลกคือ จะไม่คิดค่าสิทธิบัตรยาที่ขายในประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางและยากจนครึ่งโลก 105 ประเทศ ทำให้ลดราคายาจากเม็ดละ 580 บาท เหลือ 6.60 บาท
ส่วนในครั้งนี้ บริษัท Pfizer ประกาศว่าจะขายยาในกลุ่มประเทศรายได้น้อย ต่ำกว่าในประเทศร่ำรวย แต่ยังไม่ประกาศตัวเลขที่ชัดเจนว่าจะถูกกว่ากันมากน้อยเพียงใด
คงจะต้องติดตามความคืบหน้าของยาต่อต้านไวรัสของบริษัท Pfizer ว่าจะได้รับการอนุมัติจากอย.สหรัฐฯเมื่อใด และที่สำคัญคือจะมีราคาสูงต่ำมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับยาของบริษัท Merck
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘หมอเฉลิมชัย’ จับตาไวรัสกลายพันธุ์ ‘เดลตา พลัส’ เริ่มแพร่ในอังกฤษ
- ‘ดร.อนันต์’ เตือน แม้ระดมฉีดวัคซีนเพิ่ม แต่ห้ามคิด ‘ติดก็ติดไป อาการไม่หนักเหมือนก่อน’