COVID-19

เปิดปม ฉีดวัคซีนโควิดกลุ่มเสี่ยงไม่ถึง 30% มั่นใจ ส.ค. ครอบคลุม 50%

เปิดสาเหตุ ฉีดวัคซีนโควิดกลุ่มเสี่ยง ยังไม่ถึง 30% เหตุยังมีบางส่วนกังวลชนิดวัคซีน เร่งสาธารณสุขทั่วประเทศ เร่งด่วน ตั้งเป้าเดือนสิงหาคม ครอบคลุม 50% ลั่นฉีดไขว้ซิโนแวค-แอสตร้าฯภูมิขึ้นเร็วกว่าแอสตร้าฯ 2 เข็ม

นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) เปิดเผยถึงภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิดกลุ่มเสี่ยง คือ กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง และคนท้องอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป หรือที่เรียกว่า กลุ่ม 608 ฉีดไปแล้วประมาณเกือบ 30%

วัคซีน

ขณะที่สถานการณ์การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด19 ข้อมูลล่าสุดถึงวันที่ 12 สิงหาคม 2564 เวลา 12.09 น. ฉีดไปแล้วกว่า 22 ล้านคน คิดเป็น 23.81% ในภาพรวมทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ทางสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดสีแดงเข้ม 29 จังหวัดต้องเร่งฉีดให้ได้ตามเป้า 70% ซึ่งคาดว่าภายในเดือน ส.ค.นี้ จะฉีดวัคซีนได้ครอบคลุม 50% ของกลุ่มเป้าหมาย

กรณีฉีดวัคซีนได้ต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจาก นพ.โสภณ กล่าวว่า บางคนยังกังวลในเรื่องวัคซีน โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ผู้สูงอายุบางส่วนมองว่าโอกาสติดน้อย เพราะไม่ได้ออกไปไหน ขณะเดียวกันยังมีคนที่กังวลเรื่องการฉีดไขว้

ดังนั้น ต้องเร่งทำความเข้าใจมากขึ้นว่า การฉีดไขว้ระหว่างซิโนแวคเข็มแรก และแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่สอง ไม่ได้แตกต่างกับการฉีดแอสตร้าฯ 2 เข็ม ภูมิคุ้มกันแตกต่างไม่มาก แต่ระยะเวลาของการเกิดภูมิคุ้มกันของการฉีดไขว้เร็วกว่า ในสถานการณ์การระบาดหนักขณะนี้ จึงมีความจำเป็นมาก

นพ.โสภณ
นพ.โสภณ เมฆธน

เมื่อถามว่าผู้สูงอายุกังวลเรื่องนี้ และอยากได้แอสตร้าฯ สองเข็มมากกว่า นพ.โสภณ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ก็ต้องสื่อสาร เพราะผลการศึกษาที่ผ่านมาไม่ได้จำกัดอายุ และภูมิต้านทานไม่ได้แตกต่างกัน ขณะที่ ภูมิต้านทานขึ้นเร็วกว่า

“อย่างการฉีดสลับซิโนแวคและแอสตร้าฯ ใช้เวลาประมาณ 5 สัปดาห์ภูมิคุ้มกันขึ้นแล้ว แต่หากแอสตร้าฯ ทั้งสองเข็มต้องใช้เวลา 12-14 สัปดาห์”นพ.โสภณ กล่าว

ทั้งนี้ ต้องเร่งฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มเสี่ยงเร็วที่สุด และครอบคลุมให้มากที่สุด เพราะตัวเลขชัดเจนว่า 70% ที่เสียชีวิตเป็นผู้สูงอายุเกิน 60 ปี อีก 20% อายุต่ำกว่า 60 ปีแต่มีโรคเรื้อรัง ซึ่ง 2 กลุ่มนี้ 90% เป็นกลุ่ม 608 ดังนั้น เชิงยุทธศาสตร์ก็ต้องเน้นฉีดให้กลุ่มนี้มากที่สุด

จากเดิมกำหนดว่า ต้องฉีดในรพ. แต่ขณะนี้ให้ฉีดเชิงรุกในระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ได้ รวมไปถึงกรณีผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง สามารถจัดทีมบุคลากรเข้าไปฉีดวัคซีนถึงบ้านได้ ซึ่งบางแห่งมีการดำเนินการแล้ว

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo