COVID-19

ไขข้อข้องใจ ‘อาการลองโควิด’ จากสายพันธุ์ดั้งเดิม ‘อู่ฮั่น’ ถึง ‘โอไมครอน JN.1’

ศูนย์จีโนมฯ เฉลยโควิด-19 จากสายพันธุ์ดั้งเดิม “อู่ฮั่น” กลายพันธุ์มาถึงสายพันธุ์ปัจจุบัน “โอไมครอน JN.1” ก่อให้เกิดอาการลองโควิด แตกต่างกันหรือไม่ เช็กเลย

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics  เรื่อง โควิด-19 จากสายพันธุ์ดั้งเดิม อู่ฮั่น กลายพันธุ์มาถึงสายพันธุ์ปัจจุบัน  โอไมครอน JN.1 ก่อให้เกิด อาการลองโควิด ที่แตกต่างกันหรือไม่? โดยระบุว่า

อาการลองโควิด

วุฒิสมาชิก เบอร์นี แซนเดอร์ส ประธานคณะกรรมการวุฒิสภาด้านสุขภาพ การศึกษา แรงงาน และเงินบำนาญของวุฒิสภาสหรัฐ (ไม่สังกัดพรรค) ถือว่าลองโควิดเป็นปัญหาระดับชาติและระดับโลก จึงได้จัดการประชุมพิจารณาภาวะลองโควิดเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2567 ในหัวข้อ การจัดการกับภาวะลองโควิด: ความก้าวหน้าของการวิจัยและการปรับปรุงการดูแลผู้ป่วย

การประชุมครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงว่า รัฐสภาสหรัฐให้ความสนใจและให้ความสำคัญสนับสนุนและเร่งรัดการพัฒนาการวิจัยและปรับปรุงการดูแลผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานจากโรคลองโควิด โดยมีวุฒิสมาชิก ส.ส. นักวิจัย ผู้ประสบภัยจากลองโควิดเข้าร่วมประชุมที่อาคารรัฐสภาสหรัฐอเมริกา ใน แคปปิตอลฮิลล์ และถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ

การพิจารณาความครั้งนี้ เป็นความจำเป็นของสภาคองเกรสในการอนุมัติการปรับปรุงพระราชบัญญัติ Pandemic and All-Hazards Preparationness and Advancing Innovation Act (PAHPA) เพื่อผนวกการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับลองโควิดเข้าไปในพระราชบัญญัติฉบับปรับปรุงนี้ด้วย

หัวข้อหนึ่งในที่ประชุมหารือกันคือ ความเป็นไปได้ที่เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ต่าง ๆ อาจทำให้เกิดอาการลองโควิดที่แตกต่างกันหรือไม่ ทั้งนี้ผลงานวิจัยที่กำลังดำเนินการอยู่จะช่วยให้เกิดความกระจ่าง แม้ว่าการศึกษาบางชิ้นจะชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้ระหว่างโควิดบางสายพันธุ์กับภาวะลองโควิด

ตัวอย่างเช่น การศึกษาภาวะลองโควิดในสหราชอาณาจักรชี้ว่า มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความเหนื่อยล้า และอาการทางระบบประสาทเมื่อติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้ามากกว่าสายพันธุ์อัลฟา

เบอร์นี แซนเดอร์ส

อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ยังต้องมีการตรวจสอบซ้ำอาศัยข้อมูลจากอาสาสมัครจำนวนมากขึ้นที่มีการควบคุมโอไมครอนสายพันธุ์ใหม่ เช่น XBB, EG.5.1, BA.2.86 และ JN.1 ที่ส่วนหนามกลายพันธุ์ไปอย่างมาก ทำให้หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันและจับกับผิวเซลล์ได้ดีกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่า ผลกระทบต่อลองโควิดจะรุนแรงมากขึ้นหรือลดลง

การศึกษาภาวะลองโควิดที่เกิดจากการติดเชื้อโควิด-19 แต่ละสายพันธุ์มีความซับซ้อนมากเนื่องจากแต่ละบุคคลมีอาการลองโควิดที่แตกต่างกันอย่างมากแม้จะติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดียวกันก็ตาม

สิ่งที่เราทราบในปัจจุบัน

1. โควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม

สายพันธุ์นี้พบครั้งแรกในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อเดือนธันวาคม 2562 ทำให้เกิดภาวะลองโควิดติดตามมาอย่างต่อเนื่อง เช่นเหนื่อยล้า, หายใจลำบาก, วิตกกังวล, ภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอัตโนมัติ, และอัตราการเต้นของหัวใจเร็วและไม่สม่ำเสมอ ซึ่งมักเรียกว่า ภาวะสมองล้า (Brain Fog Syndrome) ทำให้เกิดปัญหาด้านความจำ ไม่ค่อยมีสมาธิ คิดได้ช้า ส่งผลให้ทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ลำบากมากยิ่งขึ้น อาการทางร่างกายและอารมณ์จากภาวะสมองล้า ได้แก่ อาการนอนไม่หลับ ปวดศีรษะแบบเรื้อรัง หงุดหงิดง่าย และสายตาอ่อนเพลีย

ภาวะสมองล้า เป็นหนึ่งในอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยลองโควิด หลังจากหายจากโรคติดเชื้อโควิด-19 คาดว่าเกิดเพราะสารสื่อประสาทในสมอง ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีหน้าที่ในการเชื่อมต่อข้อมูล หรือส่งสัญญาณไฟฟ้าระหว่างเซลล์ประสาทเกิดการเสียสมดุล

อาการลองโควิดตรวจพบจากผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิมอู่ฮั่น ก่อนที่จะมีการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีนรุ่นแรกกัน ดังนั้นจึงประเมินได้ว่าวัคซีนไม่น่าจะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดอาการลองโควิด แม้ว่าการฉีดวัคซีนจะไม่ได้ผล 100% ในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 แต่วัคซีนก็แสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพมากในการลดความรุนแรงของการเจ็บป่วย ลดอัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และลดการเสียชีวิตจากโควิด-19

นอกจากนี้ จากการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะลองโควิดได้มากถึง 50% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

ในที่ประชุมเน้นย้ำว่า ต้องมีการศึกษาถึงผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนแต่ละประเภทต่าง ๆ ควบคู่ไปด้วย โดยวัคซีนรุ่นใหม่ควรมีการพัฒนาให้สามารถป้องกันการติดเชื้อจากโควิดกลายพันธุ์ได้อย่างน้อย 5 ปี ไม่ควรต้องฉีดกันเป็นประจำทุกปี

2. สายพันธุ์อัลฟา (B.1.1.7)

พบครั้งแรกในเดือนกันยายน 2563 ในสหราชอาณาจักร มีความโดดเด่นด้วยความสามารถในการแพร่ติดต่อที่เพิ่มขึ้น ได้ระบาดเป็นสายพันธุ์หลักในหลายภูมิภาคในช่วงนั้นก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยสายพันธุ์เดลตาในเวลาต่อมา ก่อให้เกิดภาวะลองโควิดคล้ายกับที่พบในโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม โดยส่วนใหญ่ส่งผลต่อการทำงานของระบบทางเดินหายใจ การรับรู้ และระดับพลังงาน

3. สายพันธุ์เบตา (B.1.351)

ปรากฏครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม 2563(2020) ในแอฟริกาใต้ มีศักยภาพในการหลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อหรือจากการฉีดวัคซีนได้บางส่วน มีความพยายามที่จะประเมินความสามารถในการหลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกันของเบต้าที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อความรุนแรงของภาวะลองโควิดหรือไม่ อย่างไรก็ตามไม่มีข้อมูลมากพอที่จะสรุปผลทางคลินิกที่ชัดเจนเนื่องจากการระบาดของสายพันธุ์นี้ได้ยุติลงแล้ว

shutterstock 1668158461

4. สายพันธุ์แกมมา (P.1)

ตรวจพบครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2563 ในตัวอย่างที่รวบรวมจากมาเนาส์ ประเทศบราซิล คาดว่าการเปลี่ยนแปลงในส่วนหนามแหลมจะส่งผลต่อความสามารถของไวรัสในการติดเชื้อในเซลล์ และอาจรวมถึงการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันด้วย

การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นำไปสู่ภาวะลองโควิดแตกต่างไปจากสายพันธุ์ก่อนหน้านี้หรือไม่ อย่างไรก็ตามไม่มีข้อมูลมากพอที่จะสรุปผลทางคลินิกที่ชัดเจนเนื่องจากการระบาดของสายพันธุ์นี้ได้ยุติไปแล้วเช่นกัน

5. สายพันธุ์เดลต้า (B.1.617.2)

อุบัติขึ้นครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2563 ในอินเดีย สายพันธุ์เดลต้าแพร่เชื้อได้ดีกว่าสายพันธุ์ที่ระบาดก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ มีอัตราของผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลที่สูงขึ้น

การวิจัยระบุว่าความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของการติดเชื้อเฉียบพลันอาจเชื่อมโยงกับโอกาสที่จะเกิดภาวะลองโควิดที่รุนแรงขึ้น เช่น ความเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง ปัญหาด้านสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำ ความรู้ ความเข้าใจ และอาการป่วยไข้หลังออกกำลังกาย

การศึกษาภาวะลองโควิดในสหราชอาณาจักรชี้ว่า มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความเหนื่อยล้าและอาการทางระบบประสาทเมื่อติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้า มากกว่าสายพันธุ์ อัลฟา อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ยังต้องมีการตรวจสอบซ้ำอาศัยข้อมูลจากอาสาสมัครจำนวนมากขึ้นที่มีการควบคุม

6. สายพันธุ์โอไมครอน (B.1.1.529)

ตรวจพบครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2564 มีลักษณะพิเศษคือการกลายพันธุ์บริเวณส่วนหนามอย่างมาก ซึ่งนำไปสู่การแพร่เชื้ออย่างรวดเร็ว แม้แต่ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันมาก่อนจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ หรือจากการฉีดวัคซีน (breakthrough infection)

ตามมาด้วยการกลายพันธุ์ต่อเนื่องจากโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย XBB (ส.ค. 2565), EG.5.1 (มี.ค. 2566), BA.2.86 (มิ.ย. 2566) และ JN.1 (ก.ค. 2566) ทำให้เกิดความซับซ้อนและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาวะลองโควิดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จำเป็นต้องมีการศึกษาต่อเนื่องเพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบโดยรวมต่อภาวะลองโควิดอย่างครบถ้วน

โดยสรุป แม้ว่าอาการหลักของภาวะลองโควิด เช่น ความเหนื่อยล้า การทำงานของสมองบกพร่อง และภาวะแทรกซ้อนของระบบทางเดินหายใจพบได้ในทุกสายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019 (SARS-CoV-2) แต่อาการที่แท้จริง ความรุนแรง และระยะเวลาดำเนินการของกลุ่มอาการลองโควิดอาจแตกต่างกันไปตามลักษณะเฉพาะของแต่ละสายพันธุ์

ดังนั้น การวิจัยและการเก็บข้อมูลทางคลินิกอย่างครบถ้วนและต่อเนื่อง ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะให้ความกระจ่างถึงผลของลองโควิดของแต่ละสายพันธุ์ เพื่อให้การดูแลและการสนับสนุนที่เพียงพอแก่ผู้ที่ทุกข์ทรมานจากภาวะลองโควิดจากการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ต่างๆในช่วงเวลา 4 ปีของการระบาด

การพิจารณาความครั้งนี้เป็นความจำเป็นของสภาคองเกรสในการอนุมัติการปรับปรุงพระราชบัญญัติ Pandemic and All-Hazards Preparationness and Advancing Innovation Act (PAHPA) เพื่อผนวกการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับลองโควิดเข้าไปในพระราชบัญญัติฉบับปรับปรุงนี้ด้วย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo