COVID-19

ข่าวดี!! WHO การันตีวัคซีนโควิด ‘XBB.1.5 โมโนวาเลนต์’ รับมือโอไมครอนหลายสายพันธุ์

องค์การอนามัยโลก ระบุวัคซีนโควิด-19 เจนเนอเรชั่นล่าสุด “XBB.1.5 โมโนวาเลนต์” สามารถกระตุ้นแอนติบอดีในระดับสูงและต่อสายพันธุ์โควิดที่หลากหลาย

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ระบุว่า องค์การอนามัยโลก ระบุวัคซีนโควิด-19 เจนเนอเรชั่นล่าสุด XBB.1.5 โมโนวาเลนต์ สามารถกระตุ้นแอนติบอดีในระดับสูงและต่อสายพันธุ์โควิดที่หลากหลาย(broad spectrum antibodies) เช่น โอไมครอนกลุ่มสายพันธุ์ XBB  (EG.5, HV.1, HK.3) และโอไมครอนกลุ่มสายพันธุ์ BA.2.86 (JN.1 และ XDD)

วัคซีนโควิด

องค์การอนามัยโลกแถลงเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2566 ว่า ทีมที่ปรึกษาด้านเทคนิค (TAG-CO-VAC) ได้เสนอว่า องค์ประกอบของวัคซีนที่ใช้ป้องกันโควิด-19 ระหว่างปี 2566-2567 ควรใช้ต้นแบบหรือหัวเชื้อเป็นโอไมครอน XBB.1.5 เพียงสายพันธุ์เดียว (โมโนวาเลนต์) เพราะสามารถสร้างแอนติบอดีที่เข้าจับและทำลายอนุภาคไวรัสทั้งกลุ่มสายพันธุ์ XBB ซึ่งรวมถึง EG.5, HK.3, HV.1 และกลุ่มสายพันธุ์ BA.2.86 เช่น JN.1 และ XDD (broad spectrum antibodies)

ข้อเสนอดังกล่าว มาจากหลักฐานเชิงประจักษ์จากรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของโควิด-19 ที่มีวิวัฒนาการของสายพันธุ์มาอย่างต่อเนื่อง และขอบเขตของการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นด้วยวัคซีน XBB.1.5 โมโนวาเลนต์ ต่อสายพันธุ์โอไมครอนที่แพร่หมุนเวียนอยู่ทั่วโลกในขณะนี้ โดยสรุปได้เป็น 3 ประเด็นสำคัญคือ

1. ไวรัสโคโรนา 2019 ยังคงเป็นสาเหตุของการติดเชื้อและก่อโรคในมนุษย์ และมีการวิวัฒนาการทางพันธุกรรมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โปรตีนส่วนหนามของไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน

2. วัคซีนป้องกันโควิด-19 เจนเนอเรชั่นล่าสุดที่เรียกว่า โมโนวาเลนต์ XBB.1.5 สามารถกระตุ้นการสร้างแอนติบอดีที่ทำลายไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนได้ โดยมีการผลิตใช้ในหลายแพลตฟอร์ม รวมถึงวัคซีนเชื้อตาย (Inactivated Vaccines), วัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ (Viral Vector Vaccines), วัคซีนชนิดสารพันธุกรรม หรือวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) และวัคซีนที่ทำจากโปรตีนบางส่วนของเชื้อไวรัสโควิด-19 (Protein Subunit Vaccine) วัคซีน XBB.1.5 โมโนวาเลนต์สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีที่สามารถเข้าจับและทำลายไวรัสสองกลุ่มหลัก คือ

  • โอไมครอนกลุ่ม XBB* และลูกหลาน เช่น XBB.1.5, XBB.1.16, EG.5, HK.3 และ HV.1
  • โอไมครอนกลุ่ม BA.2.86* และลูกหลานเช่น JN.1 และ XDD

วัคซีน

3. เมื่อพิจารณาถึงวิวัฒนาการของไวรัสโคโรนา 2019 และการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีน XBB.1.5 โมโนวาเลนต์ที่กระตุ้นการสร้างแอนติบอดีที่สามารถเข้าจับและทำลายอนุภาคไวรัสโอไมครอนสองกลุ่มหลักที่กล่าวข้างต้นได้เป็นอย่างดี (broad spectrum)

ดังนั้นทาง TAG-CO-VAC จึงแนะนำองค์การอนามัยโลกให้คงองค์ประกอบต้นแบบหรือหัวเชื้อการผลิตวัคซีนเจนเนอเรชั่นล่าสุดเป็นโอไมครอน XBB.1.5 ชนิดโมโนวาเลนต์ (สายพันธุ์เดี่ยว) เพื่อป้องกันการระบาดรุนแรงของโควิด-19 ในช่วงปี 2566-2567

วัคซีนชนิดนี้ได้รับการแนะนำจากองค์การอนามัยโลก และองค์การอาหารและยาของสหรัฐ มาก่อนหน้าตั้งแต่ 11 กันยายน 2566 โดยกำหนดให้บริษัทผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 เปลี่ยนไปผลิตวัคซีนสายพันธุ์ XBB แบบโมโนวาเลนต์สำหรับใช้ในปี 2566-2567 เนื่องจากโอไมครอนกลุ่ม XBB  เป็นโควิดสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดทั่วโลกในขณะนี้ โดยสามารถแพร่เชื้อได้มากกว่าและหลบเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าโอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิมที่ระบาดมาก่อนหน้า

โปรตีนส่วนหนามของรุ่นลูก รุ่นหลานของโอไมครอนกลุ่ม XBB* เช่น EG.5, HV.1, HK.3, และรุ่นลูก รุ่นหลานของโอไมครอนในกลุ่ม BA.2.86* เช่น JN.1 และ XDD มีการกลายพันธุ์เปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไปอย่างอิสระมากกว่า 30 ตำแหน่ง แต่ก็มีบางส่วนของหนามโดยเฉพาะกรดอะมิโนตำแหน่งที่ 455 และ /หรือตำแหน่งที่ 456 ที่มีการกลายพันธุ์ที่มาบรรจบกัน (convergent evolution)

วิวัฒนาการที่มาบรรจบกัน (convergent evolution) เป็นกระบวนการที่สิ่งมีชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดพัฒนาลักษณะบางอย่าง เช่น บางส่วนของหนามของโอไมครอน XBB และ BA.2.86 ในบางตำแหน่งมามีรูปลักษณะคล้ายกัน วิวัฒนาการมาบรรจบกันเกิดขึ้นเมื่อสิ่งมีชีวิตพยายามปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมหรือระบบนิเวศที่คล้ายคลึงกัน

ในกรณีของโควิด-19 คือการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นจากการฉีดวัคซีน หรือการติดเชื้อตามธรรมชาติทำให้เกิดการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นแรงผลักดันอันสำคัญให้เกิดวิวัฒนาการที่มาบรรจบกัน

การทดสอบวัคซีน XBB.1.5 โมโนวาเลนต์ในสัตว์ทดลอง พบว่าวัคซีนโมโนวาเลนต์ XBB.1.5 กระตุ้นให้เกิดการสร้างแอนติบอดีที่เข้าจับและทำลายโอไมครอนกลุ่มสายพันธุ์ XBB* (เช่น EG.5, HV.1, HK.3) ได้ดีกว่ากลุ่มสายพันธุ์ BA.2.86 (เช่น JN.1 และ XDD) ซึ่งบ่งชี้ว่า BA.2.86 มีบางส่วนของหนาม(แอนติเจน)ที่แตกต่างไปจากกลุ่ม XBB.1.5

ในทางตรงกันข้ามจากการทดสอบในกลุ่มคนพบว่า แอนติบอดีจากซีรัมจากผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนด้วยวัคซีน XBB.1.5 โมโนวาเลนต์ ทั้งที่เคยหรือไม่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน สามารถสร้างแอนติบอดีเข้าจับและทำลายอนุภาคไวรัสทั้งกลุ่มสายพันธุ์ XBB ซึ่งรวมถึง EG.5, HK.3, HV.1 และกลุ่มสายพันธุ์ BA.2.86 เช่น JN.1 และ XDD

shutterstock 1644424099

วัคซีน XBB.1.5 โมโนวาเลนต์ ชนิดเดียวกันที่ฉีดในสัตว์ทดลองและในคน(อาสาสมัคร) พบว่าแอนติบอดีที่ถูกกระตุ้นให้สร้างขึ้นกับมีประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน

แอนติบอดีในคนจะมีประสิทธิภาพในวงกว้าง (broad spectrum antibodies) สามารถจับกับอนุภาคโอไมครอนเป้าหมายได้หลากหลายสายพันธุ์

ส่วนแอนติบอดีในสัตว์จะมีประสิทธิภาพในการจับกับโอไมครอนเป้าหมายไม่กี่สายพันธุ์ (narrow spectrum antibodies) กล่าวคือ แอนติบอดีในสัตว์จะเข้าจับและทำลายโอไมครอนกลุ่มสายพันธุ์ XBB (เช่น EG.5, HV.1, HK.3) ได้ดีกว่าโอไมครอนกลุ่มสายพันธุ์ BA.2.86* (เช่น JN.1 และ XDD)

ส่วนแอนติบอดีในคนจะเข้าจับและทำลายโอไมครอนกลุ่มสายพันธุ์ XBB* ได้ใกล้เคียงกับการเข้าจับและทำลายโอไมครอนกลุ่มสายพันธุ์ BA.2.86* ซึ่งน่าจะสะท้อนถึงการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อโควิด-19 ตามธรรมชาติจนเกิดภูมิคุ้มกันต่อโควิด-19 สะสมในประชากรมนุษย์ซึ่งในกลุ่มสัตว์ทดลองไม่มี

ดังนั้นเมื่ออาสาสมัครได้รับการฉีดวัคซีน XBB.1.5 โมโนวาเลนต์ จึงมีการกระตุ้นแอนติบอดีในระดับสูงและต่อสายพันธุ์โควิดที่หลากหลายมากกว่า (broad spectrum antibodies)

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo