COVID-19

WHO เผย ป่วยโควิดลดลงทั่วโลก แต่ผู้ป่วยวิกฤตเข้าไอซียู กลับเพิ่มมากขึ้น 18% ชี้โควิดยังรุนแรง

WHO เผย ป่วยโควิดลดลงทั่วโลก แต่ผู้ป่วยวิกฤตเข้าไอซียู กลับเพิ่มมากขึ้น 18% ชีี้ให้เห็น โควิดยังรุนแรง

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics เรื่อง ผุ้ป่วยโควิดลดลง แต่ผุ้ป่วยวิกฤตเข้าไอซียูกลับเพิ่มมากขึ้น ดังนี้

เหตุใด! รายงานสถานการณ์โควิด-19 จากองค์การอนามัยโลกในรอบ 28 วันที่ผ่านมา (วันที่ 1-28 กันยายน 2023) เทียบกับ 28 วันก่อนหน้าพบแนวโน้มผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต “ลดลงทั่วโลก” แต่จำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาลและจำนวนผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพเข้าขั้นวิกฤตต้องเข้ารักษาตัวในห้องไอซียูกลับ “เพิ่มขึ้นทั่วโลก”

ป่วยโควิด

แนวโน้มป่วยโควิดลดลงทั่วโลก แต่ผู้ป่วยวิกฤตเข้าไอซียูเพิ่มมากขึ้น

รายงานจากองค์การอนามัยโลกแจ้งว่า:

ผู้ป่วยจากโควิด-19 ในรอบ 28 วันที่ผ่านมา ลดลง 55% ทั่วโลก เทียบกับ 28 วันก่อน

ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในรอบ 28 วันที่ผ่านมา ลดลง 34% ทั่วโลก เทียบกับ 28 วันก่อน

ในระดับภูมิภาค

จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ที่ได้รับรายงานในช่วง 28 วันลดลงหรือยังคงทรงตัวในสี่ภูมิภาคจากหกภูมิภาคที่แบ่งโดยองค์การอนามัยโลก: ภูมิภาคแอฟริกา (-92%) ภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก (-65%) ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(-23%) และภูมิภาคอเมริกา (+3%) ในขณะที่จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในสองภูมิภาคขององค์การอนามัยโลก: ภูมิภาคยุโรป (+19%) และภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก (+53%)

จำนวนผู้เสียชีวิตที่รายงานใหม่ในช่วง 28 วันเพิ่มขึ้นในสามภูมิภาค ได้แก่ ภูมิภาคแอฟริกา (+33%) ภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก (+88%) และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (+111%); ในขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตลดลงในสามภูมิภาคขององค์การอนามัยโลก: ภูมิภาคอเมริกา (-58%) ภูมิภาคยุโรป (-54%) และภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก (-15%)

ป่วยโควิด

ในระดับประเทศ

จำนวนผู้ป่วยโควิดรายใหม่ 28 วันรายงานสูงสุดจากสาธารณรัฐเกาหลี (ผู้ป่วยใหม่ 392,073 ราย -70%) อิตาลี (ผู้ป่วยใหม่ 60,885 ราย +84%) สหราชอาณาจักร (29,959 ผู้ติดเชื้อรายใหม่ -5%) สหพันธรัฐรัสเซีย (ผู้ป่วยใหม่ 28,441 ราย +132%) และเม็กซิโก (ผู้ป่วยใหม่ 26,746 ราย +3%)

จำนวนผู้เสียชีวิตใหม่ในช่วง 28 วันสูงสุดรายงานจากออสเตรเลีย (ผู้เสียชีวิตใหม่ 734 คน; +263%), อิตาลี (ผู้เสียชีวิตใหม่ 232 คน; +6%), สาธารณรัฐเกาหลี (ผู้เสียชีวิตใหม่ 122 คน; -80%), เม็กซิโก ( เสียชีวิตใหม่ 106 ราย -26%) และอินเดีย (เสียชีวิตใหม่ 103 ราย +758%)

แต่การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลกลับเพิ่มขึ้น 45% ทั่วโลก โดยมีรายงานการรักษาในโรงพยาบาลใหม่ประมาณ 95,999 ครั้งในช่วง 28 วันที่ผ่านมา การรับเข้ารักษาใน ICU: เพิ่มขึ้น 18% ทั่วโลก โดยมีรายงานการรับเข้ารักษาในไอซียู ใหม่ประมาณ 985 รายในช่วง 28 วันที่ผ่านมา

การรายงานผู้ป่วยโควิดและการเสียชีวิตทั่วโลกลดลง ควรได้รับการตีความด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากการทดสอบเชื้อ (PCR) การถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม (COVID-19 Genomic Surveillance)  และการรายงานผลลดลงในหลายประเทศ

ในขณะเดียวกัน การเพิ่มขึ้นของการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการรับเข้าห้องไอซียูทั่วโลก ชี้ให้เห็นว่าโรคโควิด-19 ยังคงรุนแรงและส่งผลกระทบต่อระบบสุขภาพ การติดตามผลการรักษาในโรงพยาบาลและหน่วยไอซียู เป็นสิ่งสำคัญในการประเมินผลกระทบของโควิด-19

ป่วยโควิด

หลากหลายปัจจัยส่งผลให้ผู้ป่วยต้องรักษาในห้องไอซียูเพิ่มขึ้น

ปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และการรักษาในห้องไอซียูเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในบางประเทศและภูมิภาค ได้แก่:

  1. มาตรการด้านสาธารณสุขที่ผ่อนคลาย – ประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกาหลายแห่งได้ผ่อนคลายข้อจำกัดเกี่ยวกับโรคโควิด-19 เช่น คำสั่งสวมใส่หน้ากากอนามัยและการเว้นระยะห่างทางสังคมในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งอาจผลักดันให้เกิดการแพร่เชื้อเพิ่มขึ้นและผลลัพธ์ที่รุนแรงยิ่งขึ้นในกลุ่มเปราะบาง
  2. ภูมิคุ้มกันลดลง – ประเทศที่มีการเปิดตัววัคซีนตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา และบางส่วนของยุโรป กำลังเผชิญกับภูมิคุ้มกันที่ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบรุนแรงหากการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นยังล่าช้า
  3. ทัศนคติเกี่ยวกับวัคซีน – ปัญหาความลังเลของประชาชนในการเข้ารับการฉีดวัคซีนในบางพื้นที่เนื่องจากกังวลเรื่องผลข้างเคียง (1 ใน 100,000 เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเกิดขึ้นหลังการฉีดวัคซีน mRNA โดยเฉพาะในวัยรุ่นและชายวัยหนุ่มสาวหลังได้รับโดสที่สอง) ที่อาจทำให้ประชากรกลุ่มนั้นเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยที่รุนแรง
  4. การอุบัติขึ้นของโอมิครอนกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง – การเพิ่มขึ้นของโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยเช่น โอไมครอน EG.5, XBB.1.16, XBB 1.9.2, และ BA.2.86 มีการกลายพันธุ์เปลี่ยนแปลงส่วนหนามไปมากอาจทำให้โอไมครอนรุ่นนี้หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีน หรือการติดเชื้อตามธรรมชาติในบางประเทศ ในขณะนี้โอไมครอน XBB.1.5 มีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง

ป่วยโควิด

สายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งองค์การอนามัยโลกร้องขอให้ชาติสมาชิกร่วมเฝ้าติดตาม แบ่งเป็น 2 กลุ่ม:

โอไมครอนสายพันธุ์ที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิด (variant of interest: VOI)

  • โอไมครอน EG.5 – เป็น VOI ที่แพร่หลายมากที่สุด และคิดเป็น 33.6% ของตัวอย่างที่ถอดรหัสพันุกรรมทั้งจีโนมและแชร์ไว้บนฐานข้อมูลโควิดโลก “จีเสส (GISAID)”  พบแล้วใน 73 ประเทศ
  • โอไมครอน XBB.1.5 – ทั่วโลกคิดเป็น 8.6%
  • โอไมครอน XBB.1.16 – ทั่วโลกคิดเป็น 18.9%

โอไมครอนสายพันธุ์ที่ติดตามห่างๆ (Variant Under Monitoring: VUM)

  • โอไมครอน XBB.1.9.2 – มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยคิดเป็น 11.2%
  • ส่วนโอไมครอน BA.2.86 ยังพบการระบาดทั่วโลกน้อยเกินกว่าที่คำนวณออกมาเป็น %
  1. พนักงานกลับเข้าทำงานในสำนักงาน/นักเรียนกลับเข้าเรียนในโรงเรียน – การกลับมาทำงาน/โรงเรียนด้วยตนเองอีกครั้งหลังวันหยุดฤดูร้อนอาจทำให้การติดต่อและการแพร่เชื้อเพิ่มมากขึ้นในบางภูมิภาคในซีกโลกเหนือ
  2. ฤดูกาล – ประเทศในซีกโลกเหนือได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิจากฤดูกาล เช่นในช่วงฤดูหนาวที่ประชาชนหลบอากาศหนาวชุมนุมอยู่ในบ้านหรืออาคารที่เอื้อต่อการแพร่กระจายของไวรัสทางเดินหายใจ
  3. การขาดแคลนบุคลากร – ความตึงตัวของระบบสุขภาพและการขาดเจ้าหน้าที่อาจทำให้การดูแลล่าช้าและลดคุณภาพการรักษาในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
  4. พฤติกรรมการตรวจไวรัสโควิด-19 ที่ลดลง – การลด ละ และเลิกการทดสอบด้วย ATK, PCR, การถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมทำให้การวินิจฉัยและการดูแลรักษาล่าช้าไปจนเกิดการลุกลามของโรค
  5. ข้อมูลประชากรตามอายุ – ประเทศที่มีประชากรสูงวัย(ประเทศในซีกโลกเหนือ)อาจประสบปัญหาร้ายแรงมากกว่าประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว(ประเทศในแอฟริกา)

WHO

ยาต้านไวรัส ปัจจัยสำคัญของการรักษา

เมื่อการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นลดลงจากความกังวลใจเรื่องผลข้างเคียง ทำให้ความสำคัญของยาต้านไวรัสที่ใช้ในการรักษาโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น

  • ยาต้านไวรัสสองชนิดที่ปัจจุบันได้รับอนุญาตสำหรับการรักษาโควิด-19 ได้แก่ นิรมาเทรลเวียร์/ริโทนาเวียร์ (แพกซ์โลวิด) และเรมเดซิเวียร์
  • แพกซ์โลวิดเป็นยารับประทานที่ต้องรับประทานภายใน 5 วันนับจากเริ่มมีอาการจึงจะได้ผล ลดความเสี่ยงในการเข้ารักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง
  • ให้ยาเรมเดซิเวียร์ทางหลอดเลือดดำและใช้สำหรับการรักษาผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการป่วยรุนแรงจากโรคโควิด-19
  • ยาต้านไวรัสอื่นๆ เช่น โมลนูพิราเวียร์ ก็ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในการรักษาเช่นกัน แต่อาจมีประสิทธิผลน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ แพกซ์โลวิด และเรมเดซิเวียร์
  • การเข้าถึงการรักษาด้วยยาต้านไวรัสสำหรับโควิด-19 ยังคงเป็นความท้าทายทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศที่มีรายได้น้อยหลายประเทศมียาจำหน่ายอย่างจำกัด ประชาชนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึง
  • จำเป็นต้องมีการผลิตยาที่เพิ่มขึ้น ราคายาต้องถูกลง โดยมีการจำหน่าย จ่ายแจกยาต้านไวรัสทั่วโลกอย่างเท่าเทียมกัน
  • ยาต้านไวรัสจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อให้โดยเร็วที่สุดหลังจากเริ่มมีอาการ ดังนั้นการวินิจฉัยโดยทันทีผ่านการทดสอบ PCR จึงเป็นสิ่งสำคัญ
  • การให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างทันท่วงทีแก่กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการลุกลามของโรคร้ายแรงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งรวมถึงผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ที่มีภาวะต่างๆ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน และโรคหัวใจ

5

มาตรการที่ไม่ใช้ยาและวัคซีน เพื่อยับยั้งโควิด

เทคโนโลยีของมนุษย์ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถยับยั้งการเกิดโรคทางเดินหายใจอุบัติใหม่ที่ระบาดไปทั่วโลกได้ แต่เทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถชะลอการระบาดของโควิด-19 ทำให้ลดจำนวนผู้เสียชีวิตในช่วงที่มีการระบาด โรคอุบัติใหม่ในช่วงแรกมักจะยังไม่มีวัคซีนและยา จึงต้องใช้มาตรการที่ไม่ใช้ยาและวัคซีน (non-pharmaceutical interventions:NPIs)  เช่น การล็อกดาวน์ การเว้นระยะห่างทางสังคม ช่วยชะลออัตราการแพร่ระบาดและจํานวนผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาลพร้อมกัน ทำให้ระบบสาธารณสุขสามารถรองรับผู้ป่วยติดเชื้อรุนแรงได้ในช่วงของการระบาด

มาตรการการชะลอการระบาดของโควิด-19 ที่ไม่ใช้ยาและวัคซีน (non-pharmaceutical interventions:NPIs)  เช่น

  1. คำสั่งให้อยู่บ้านหรือล็อกดาวน์ – จำกัดการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น และจำกัดการติดต่อ
  2. การปิดกิจการหรือลดกำลังการผลิตของโรงงาน – การปิดหรือจำกัดจำนวนผู้เข้าพักในร้านอาหาร สถานบันเทิง โรงยิม ฯลฯ
  3. การปิดโรงเรียนหรือการเปลี่ยนผ่านสู่การเรียนรู้เสมือนจริง – ปิดสถาบันการศึกษาชั่วคราวหรือเปลี่ยนเพื่อไปสู่การเรียนรู้ทางไกล
  4. การปิดสถานที่ทำงานหรือนโยบายการทำงานจากที่บ้าน – การให้พนักงานที่ไม่จำเป็นทำงานทางไกลเพื่อลดการติดต่อ
  5. ข้อจำกัดในการชุมนุมใหญ่ – ห้ามหรือจำกัดการเข้าร่วมคอนเสิร์ต งานเทศกาล กิจกรรมทางศาสนา ฯลฯ
  6. ข้อจำกัดการเคลื่อนไหวภายใน – การกำหนดข้อจำกัดการเดินทางระหว่างเมืองหรือระหว่างรัฐ
  7. การห้ามเดินทางระหว่างประเทศ – การจำกัดการเข้าประเทศสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พลเมืองหรือต้องกักตัวเมื่อเดินทางมาถึง
  8. การลดปริมาณการขนส่งสาธารณะ – ลดเส้นทาง ตารางเวลา หรือจำนวนผู้โดยสารรถโดยสารประจำทาง รถไฟ ฯลฯ
  9. เคอร์ฟิว – กำหนดเวลาให้ผู้อยู่อาศัยอยู่บ้าน ยกเว้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่จำเป็น
  10. คำสั่งให้สวมหน้ากากอนามัย – กำหนดให้ใช้หน้ากากในพื้นที่สาธารณะในร่มทั้งหมด และ/หรือพื้นที่กลางแจ้งที่มีผู้คนหนาแน่น

การตัดสินใจใช้ NPI ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของโควิด-19 ในท้องถิ่น ความสามารถในการตอบสนอง และผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่อาจเกิดขึ้น การผสมผสาน NPI ที่ปรับให้เหมาะสมและจำกัดเวลาอาจช่วยควบคุมการระบาดอย่างได้ผล อย่างไรก็ตาม การป้องกัน เช่น วัคซีน การระบายอากาศ และการสวมหน้ากาก ถือเป็นรากฐานที่สำคัญของการต่อสู้กับโคโรนา 2019 ในระยะยาวอย่างมีประสิทธิผล

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo