สมอง ถือเป็นอวัยวะที่ถือว่าสำคัญมากที่สุดส่วนหนึ่งของร่างกาย ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายเกือบทั้งหมด แต่เมื่ออายุมากขึ้นพร้อมด้วยปัจจัยอื่น ๆ สมองก็เสื่อมสภาพแบบค่อยเป็นค่อยไปตามกาลเวลา และรูปแบบการใช้งาน และแสดงออกทางร่างกายในรูปแบบต่าง ๆ ได้
หนึ่งในนั้น คือ อาการขี้หลงขี้ลืม ความจำไม่ดีเหมือนแต่ก่อน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในลักษณะเด่นของ “โรคอัลไซเมอร์“ (Alzheimer’s Disease) ที่ถือว่าเป็นสาเหตุของโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุที่พบบ่อยที่สุด
โรคอัลไซเมอร์คืออะไร
เป็นโรคที่มีการถดถอยของการทำงาน หรือโครงสร้างของสมองมากกว่าวัย เกิดจากการที่โปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เบต้า-อะไมลอยด์ (beta-amyloid) ซึ่งเป็นผลจากของเสีย ที่เกิดจากการสันดาปของเซลล์ มีการตกตะกอน และไปจับกับเซลล์สมอง เส้นใยที่เชื่อมต่อของสมอง รวมถึงเซลล์พี่เลี้ยงของสมอง ส่งผลให้เกิดความเสียหาย และนำมาสู่การตายของเซลล์สมอง โดยทำให้สมองเสื่อมและฝ่อลง และเกิดการสูญเสียเนื้อสมองในที่สุด
โรคนี้ เป็นหนึ่งในกลุ่มของโรคสมองเสื่อม (Dementia) ที่พบได้บ่อยที่สุด คิดเป็น 60%-80% ของกลุ่มผู้ที่เป็นโรคสมองเสื่อมทั้งหมด ปัจจุบันพบผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์มากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องมาจากการมีอายุยืนยาวขึ้น และปัจจัยด้านอื่นๆ
ในประเทศไทยยังไม่มีรายงานจำนวนผู้ป่วยที่แน่ชัด แต่จากข้อมูลของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Association) ที่เก็บข้อมูลของชาวอเมริกัน พบว่า มีผู้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นทุกปี และสูงถึง 14 ล้านคนในปี 2563 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 5% ของจำนวนประชากรทั้งหมด
ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อม ได้แก่ สมองเสื่อมจากภาวะสมองขาดเลือด (Vascular Dementia), Dementia with Lewy bodies, Frontotemporal lobar dementia ภาวะสมองเสื่อมในโรค Parkinson (Parkinson’s disease dementia) และภาวะสมองเสื่อมที่เกิดจากหลายสาเหตุร่วมกัน
ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
- อายุ ในบุคคลทั่วไป เมื่ออายุมากกว่า 65 ปีไปแล้ว ทุก ๆ 5 ปี จะมีความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
- พันธุกรรม โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติโรคความจำเสื่อมในครอบครัว
- ยีนกลายพันธ์ Apolipoprotein E (Apo E), Amyloid-beta Precursor Protein (APP), Presenilin 1 (PSEN1) และ Presenilin 2 (PSEN2) และ Down’s syndrome จะทำให้ปรากฎอาการของโรคอัลไซเมอร์เร็วกว่าคนปกติ
- เพศ พบว่าเพศหญิงมีความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์มากกว่าเพศชายเล็กน้อย
ปัจจัยที่เกิดขึ้นภายหลัง
เป็นส่วนส่งเสริมให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ โดยปัจจัยเสี่ยง หรือโรคดังกล่าวส่งผลต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ทำให้เนื้อสมองมีความเสียหายมากขึ้น ดังนี้
- โรคเบาหวาน พบว่ามีความเสี่ยงสูงกว่า 39% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน
- โรคความดันโลหิตสูง พบว่ามีความเสี่ยงสูงกว่า 61%
- โรคอ้วน พบว่ามีความเสี่ยงสูงกว่า 60%
- สูบบุหรี่ พบว่ามีความเสี่ยงสูงกว่า 59%
- ไม่ออกกำลังกาย พบว่ามีความเสี่ยงสูงกว่า 82%
ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม และทางกายภาพอื่น ๆ
- ระดับการศึกษา พบว่า จะมีความเสี่ยงสูงกว่า 59% หากมีระดับการศึกษาต่ำ
- ภาวะซึมเศร้า พบว่ามีความเสี่ยงสูงกว่า 90%
- ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การขาดปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ทำให้ขาดการทำงานของสมองในหลาย ๆ ด้าน และยังเป็นความเสี่ยงของการเกิดโรคซึมเศร้าอีกด้วย
- การนอนหลับ การนอนหลับที่ไม่เพียงพอหรือไม่มีคุณภาพ เช่น มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) โรคของการเคลื่อนไหวผิดปกติช่วงนอน (Restless Leg Syndrome) โรคเหล่านี้มีผลต่อการซ่อมแซมเซลล์สมองในช่วงระหว่างการนอนหลับลึก และการรวบรวมความจำในช่วงระหว่างการนอนหลับตื้น
- มีประวัติอุบัติเหตุทางสมอง ที่ทำให้เซลล์สมองได้รับความเสียหาย
อาการของโรคอัลไซเมอร์
อาการของโรคอัลไซเมอร์นั้น นอกจากปัญหาเรื่องความจำ ที่เป็นอาการที่เด่นชัด และสังเกตได้ง่ายแล้ว ยังมีอาการอื่น ๆ ที่หลากหลายแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละคน โดยทั่วไปแล้ว อาการเหล่านี้มักส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป และการเข้าสังคมด้วยเช่นกัน
- สูญเสียความจำหรือข้อมูลระยะสั้น มีการหลงลืมที่รบกวนชีวิตประจำวัน ลืมของไว้ในที่ที่ไม่ควรเก็บ เช่น วางของทิ้งไว้แล้วลืม วางกุญแจรถไว้ในตู้เย็น นึกชื่อคนที่รู้จักไม่ออก ถ้าหากตัวโรคเป็นมากขึ้น ก็อาจทำให้สูญเสียความทรงจำในอดีตได้
- มีความสับสนในวัน เวลา สถานที่
- มีความสับสนในทิศทาง เช่น ลืมเส้นทางที่เคยใช้เป็นประจำ
- มีปัญหาในการสื่อสาร เช่น คิดคำพูดไม่ออก เข้าใจหรือสื่อสารข้อความยาวๆ ไม่ได้
- มีการตัดสินใจที่แย่ลง ช้าลง
- มีการคิดวิเคราะห์ การแก้ไขปัญหาที่ทำได้ยากขึ้น หรือทำได้แย่ลง
- ขาดสมาธิในการจดจ่อกับสิ่งที่ทำ
- มีปัญหาในการทำงาน ทำงานให้สำเร็จได้ยากกว่าปกติ
- มีอารมณ์เปลี่ยนแปลง เช่น ฉุนเฉียว หงุดหงิดง่าย ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ซึมเศร้า
- มีการแยกตัวจากสังคม งาน หรือกิจกรรมที่เคยทำหรือชื่นชอบ
คนที่ขี้หลงขี้ลืม จัดว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือไม่
หากบอกว่าคนที่มีอาการขี้หลงขี้ลืมนั้น ถือเป็นโรคอัลไซเมอร์ อาจไม่ถูกต้องนัก คนที่มีอาการขี้หลงขี้ลืมบ่อย ๆ อาจเป็นได้จาก 2 กรณี ได้แก่
- มีอาการขี้ลืมจากการไม่ได้จดจำ ไม่ได้เก็บข้อมูลเข้าไปในความจำ เช่น ยุ่งมากมีเรื่องหลายเรื่องที่ต้องทำ ลักษณะนี้ไม่ถือว่าเป็นโรคความจำเสื่อม
- มีอาการขี้ลืมที่เกิดจากความจำถดถอย ความสามารถในการจดจำลดลง ถือว่าเป็นโรคความจำเสื่อม ซึ่งมักมีอาการอื่นในเรื่องของความจำร่วมด้วย
การตรวจวินิจฉัยโรคความจำเสื่อม
การตรวจวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุของโรคความจำเสื่อม ถือเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาและตรวจหาสาเหตุ เพื่อให้ทำการรักษาได้ตรงเป้า แม่นยำเฉพาะโรค และประสบผลสำเร็จ การวินิจฉัยโรคความจำเสื่อม ทำได้ดังนี้
- ซักประวัติ จากตัวผู้ป่วยเอง คนรอบข้าง หรือผู้ใกล้ชิด เพื่อสังเกตพฤติกรรม และอารมณ์
- ตรวจร่างกาย เพื่อหาอาการร่วมทางระบบประสาท เช่น อาการอ่อนแรง มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ
- ตรวจความจำ เช่น Mini Mental Status Examination (MMSE), Montreal Cognitive Assessment (MoCA), Cognitive Ability Test
- ตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจภาพวินิจฉัยสมอง ด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อประเมินภาวะของสมอง การตรวจเลือด เพื่อหาปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การตรวจน้ำตาล น้ำตาลสะสม ระดับไขมันในเลือด การทำงานของไทรอยด์ ระดับวิตามินบี 12 การตรวจหาภาวะการติดเชื้อซิฟิลิส หรือเอชไอวี การตรวจภูมิคุ้มกันในร่างกายที่มีผลต่อสมอง
- ประเมินภาวะทางอารมณ์
- ตรวจยีน เช่น Apolipoprotein E4 (Apo E4), Amyloid-beta Precursor Protein (APP), Presenilin 1 (PSEN1) และ Presenilin 2 (PSEN2)
นอกจากนั้น ยังจำเป็นจะต้องตรวจหาภาวะ หรือโรคทางกายอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อความจำ และให้การรักษาด้วยเสมอ ได้แก่
- ภาวะเกลือแร่ในร่างกายต่ำ เช่น โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม
- ภาวะขาดวิตามินในร่างกาย ได้แก่ วิตามินบี1 บี12 โฟลิค
- ภาวะพร่องไทรอยด์ หรือไทรอยด์เป็นพิษ
- ติดเชื้อบางอย่างในร่างกาย เช่น ซิฟิลิส เอชไอวี โรคภูมิคุ้มกันแปรปรวนที่มีผลต่อสมอง
- ใช้ยาบางอย่างที่มีผลต่อความจำ โดยเฉพาะยาที่มีผลทำให้ง่วงนอน ยานอนหลับ สารเสพติดบางชนิด เช่น แอมเฟตามีน โคเคน กัญชา โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติการใช้ในปริมาณมากหรือต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ
ปัจจุบันมีการตรวจสุขภาพในกลุ่มที่เริ่มมีความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ เพื่อที่จะวินิจฉัยและรักษาได้ถูกต้องรวดเร็ว ช่วยให้อาการทุเลาลง หรือมีการดำเนินโรคช้าลงได้
การป้องกันโรคความจำเสื่อม
- ลดปัจจัยเสื่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หากมีภาวะเหล่านี้ ควรรักษาให้อยู่ในเกณฑ์ปกติและควบคุมได้
- ออกกำลังกายและเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
- บริหารสมอง โดยการทำกิจกรรมที่ชื่นชอบในเวลาว่าง เช่น อ่านหนังสือ วาดรูป ทำอาหาร ปลูกต้นไม้
- เข้าสังคม มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
- บริหารอารมณ์ให้แจ่มใส ลดความวิตกกังวล ลดความเศร้า หากไม่สามารถทำเองได้ แนะนำให้พบจิตแพทย์หรือนักจิตบำบัด เพื่อดูแลอาการให้ดีขึ้น
การรักษาภาวะความจำเสื่อมจากโรคอัลไซเมอร์
โรคอัลไซเมอร์นั้น ในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มีเพียงการรักษาที่ช่วยให้อาการของผู้ป่วยทุเลาลงหรือประคับประคองไม่ให้อาการแย่ลงไป รวมถึงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถช่วยเหลือตัวเองได้
- มุ่งเน้นไปที่สาเหตุ/โรคร่วมที่ทำให้เกิดโรค และให้การดูแลสุขภาพในทุกมิติ ทั้งการดูแลสุขภาพกาย การทำกิจวัตรประจำวัน
- หากิจกรรมเพื่อส่งเสริมสมอง กิจกรรมกระตุ้นความคิด
- หาผู้ดูแลผู้ป่วยที่ค่อนข้างเข้าใจในธรรมชาติของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ เพื่อรับมือกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้ป่วยได้ถูกต้อง
- วางแผนการรักษาในระยะยาว ปรับสภาพแวดล้อมของผู้ป่วยให้มีความปลอดภัย
- ใช้ยากระตุ้นสมอง
ทั้งนี้ มีรายงานวิจัยฉบับหนึ่งระบุว่า ผู้ที่มีกรรมพันธุ์โรคอัลไซเมอร์ จะมีความเสี่ยงสูง แต่หากดูแลสุขภาพอย่างดี สามารถลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ลงได้ถึง 32% เมื่อเทียบกับผู้ที่ใช้ชีวิตแบบไม่ใส่ใจสุขภาพ
ส่วนรายงานอีกฉบับ ยืนยันว่า การพักอาศัยในบริเวณที่มีมลภาวะสูง จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์สูงด้วย ทั้งผู้หญิงสูงวัยที่ใช้สมองอยู่เสมอ มีศักยภาพการทำงานสูง (วัดจากคะแนนการทำงานของสมอง ระยะเวลาที่เรียนหนังสือ หน้าที่การงาน และกิจกรรมทางกายภาพ) มีความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นเพียง 21% ต่างจากผู้ที่ไม่ค่อยได้บริหารสมอง จะมีความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นถึง 113%
ที่มา: โรงพยาบาลสมิติเวช
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- นอนไม่หลับ โรคทรมาน การนอนไม่หลับแบบไหน ควรตรวจ Sleep Test เช็คเลย!!
- น่าทึ่ง!! เด็ก 2-4 ขวบ ทำงานในสถานดูแลผู้สูงอายุในญี่ปุ่น สุดเวิร์ก
- แพทย์เตือน งีบนาน งีบบ่อยกลางวัน ส่อ-เสี่ยง ‘อัลไซเมอร์’ ถามหา