Wellness

เรื่องควรรู้! ‘ฮอร์โมนผู้หญิง’ มีกี่ชนิด สำคัญอย่างไร

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า “ฮอร์โมนผู้หญิง” มีทั้งหมดกี่ชนิด แต่ละชนิดมีความสำคัญอย่างไรบ้าง และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงวัยทอง จะเป็นอย่างไรบ้าง

ฮอร์โมน (Hormones) คือสารเคมีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้ดำเนินไปได้ตามปกติ นอกจากเพศหญิงและชาย จะมีฮอร์โมนแตกต่างชนิด ซึ่งทำหน้าที่แตกต่างกัน ปริมาณและการทำหน้าที่ของฮอร์โมนในแต่ละช่วงอายุ ก็ยังแตกต่างกันไปอีกด้วย

ฮอร์โมนผู้หญิง

ฮอร์โมนผู้หญิง ที่สำคัญได้แก่ เอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน FSH และ LH 

เอสโตรเจน (Estrogen)

เป็นฮอร์โมนผู้หญิงที่สำคัญ ทำหน้าที่ควบคุมระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ผลิตจากรังไข่เป็นส่วนใหญ่ และมีส่วนน้อยที่ผลิตจากต่อมหมวกไต และเซลล์ไขมัน โดยจะมีผลต่อการเจริญเติบโตทางเพศ ลักษณะของเพศหญิง การมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ และการหมดประจำเดือน

ผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์จะมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ 15-350 pg/mL โดยจะแตกต่างกันในช่วงของการตกไข่และมีประจำเดือน

ส่วนในวัยหมดประจำเดือนจะมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดต่ำลงที่ <10 pg/mL หากมีฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไปอาจทำให้มีการสะสมไขมันมากขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคอ้วน ทำให้หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวนง่าย และเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งบางชนิด และไขมันในเส้นเลือด

อาการของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่สมดุล เช่น

  • ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
  • อาการก่อนประจำเดือนที่ผิดปกติ (Premenstruation syndrome-PMS)
  • อารมณ์แปรปรวน
  • หงุดหงิดง่าย
  • นอนหลับยาก
  • ไม่มีสมาธิ
  • กระดูกเปราะง่าย
  • ช่องคลอดแห้งและฝ่อตัว มีผลต่อเพศสัมพันธ์ เกิดถุงน้ำ เนื้องอกที่เต้านม มดลูก รังไข่ได้

ฮอร์โมนผู้หญิง

โปรเจสเตอโรน (Progesterone)

ฮอร์โมนผู้หญิงตัวนี้ สร้างจากรังไข่ในช่วงหลังไข่ตก และบางส่วนจากรก โดยจะมีหน้าที่ควบคุมภาวะไข่ตก และการมีประจำเดือน กระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวขึ้น พร้อมรับการฝังตัวของตัวอ่อน ที่ได้รับการผสมจากไข่และอสุจิแล้ว ดูแลการตั้งครรภ์ ควบคุมการทำงานพื้นฐานของร่างกาย

ระดับของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงของการตกไข่และตั้งครรภ์ หากมีความผิดปกติของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในช่วงก่อนการตั้งครรภ์ อาจทำให้มีผลต่อการตั้งครรภ์ เนื่องจากไข่ที่ได้รับการผสมไม่สามารถฝังตัวได้ และหากมีความผิดปกติของฮอร์โมนในระหว่างตั้งครรภ์ ก็อาจทำให้เกิดการแท้งบุตรได้

Follicular stimulating hormone (FSH)

สร้างจากต่อมใต้สมอง เพื่อกระตุ้นให้ไข่มีการเจริญเติบโตและพร้อมต่อการผสมกับอสุจิ รวมถึงมีผลต่อการเติบโตทางเพศในช่วงวัยเจริญพันธุ์ หากฮอร์โมน FSH ผิดปกติจะทำให้ไม่มีการเจริญเติบโตของไข่และอาจมีผลต่อความสามารถในการสืบพันธุ์ได้

Luteinizing hormone (LH)

สร้างจากต่อมใต้สมอง มีหน้าที่กระตุ้นให้ไข่ที่เจริญเต็มที่แล้วตกจากรังไข่ เพื่อพร้อมรับการผสมกับอสุจิ หากระดับฮอร์โมน LH ต่ำเกินไปจะทำให้ไม่มีการตกไข่ ส่งผลต่อความสามารถในการสืบพันธุ์ แต่หากมีมากเกินไปก็อาจส่งผลต่อการเกิดซีสต์ หรือถุงน้ำในรังไข่ได้

ฮอร์โมนเพศหญิง อื่น ๆ

เอ็นโดรฟิน (Endorphin)

เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมใต้สมองเมื่อร่างกายมีความสุข ความพอใจ ความผ่อนคลาย หากร่างกายมีความเครียดฮอร์โมนชนิดนี้จะลดลง สามารถเพิ่มระดับฮอร์โมนเอ็นโดรฟินได้ โดยการทำกิจกรรมที่ทำให้มีความสุข ผ่อนคลาย เช่น กิจกรรมที่ชอบ ออกกำลังกาย หรือนั่งสมาธิให้เกิดความสงบ

ฮอร์โมนผู้หญิง

เซโรโทนิน (Serotonin)

หลั่งจากสมองและบางส่วนจากทางเดินอาหาร ช่วยควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ อารมณ์ พฤติกรรม เป็นฮอร์โมนสำคัญในการช่วยให้นอนหลับ

หากระดับฮอร์โมนเซโรโทนินต่ำเกินไปอาจส่งผลต่อการนอนหลับ ทำให้หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ มีอาการปวดศีรษะ หากเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลให้เกิดโรคซึมเศร้าได้

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะกลุ่มโปรตีนสามารถเพิ่มและรักษาระดับฮอร์โมนเซโรโทนินได้

คอร์ติซอล (Cortisol)

เป็นฮอร์โมนที่ถูกสร้างจากต่อมหมวกไต จะถูกหลั่งมากขึ้นเมื่อร่างกายมีภาวะเครียด มีเหตุการณ์คับขัน มีเรื่องวิตกกังวล หรือมีความเจ็บป่วยของร่างกาย

เมื่อเกิดภาวะดังกล่าวฮอร์โมนคอร์ติซอล จะถูกหลั่งเพื่อให้ร่างกายเตรียมพร้อมต่อการฟื้นฟู กระตุ้นการสร้างน้ำตาลเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย ควบคุมระดับน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย

การนอนหลับพักผ่อนอย่างเป็นเวลาจะช่วยให้ระดับของฮอร์โมนคอร์ติซอลคงที่ เนื่องจากฮอร์โมนคอร์ติซอลจะมีระดับสูงในช่วงเช้าหลังตื่นนอน และจะค่อย ๆ ลดลงในช่วงบ่าย

อะดรีนาลีน (Adrenaline) หรือ เอพิเนฟริน (Epinephrine) 

เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมหมวกไต จะถูกหลั่งเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะฉุกเฉิน คับขัน เตรียมพร้อมให้ร่างกายใช้พลังงาน จะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น

โดยปกติร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้มากขึ้นเฉพาะเวลาที่มีภาวะฉุกเฉินหรือถูกกระตุ้น แต่หากมีความผิดปกติ อาจทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นเร็วและความดันโลหิตสูงเรื้อรังได้

ฮอร์โมนผู้หญิง

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศหญิง ในช่วงวัยทอง

วัยทอง หรือ วัยหมดประจำเดือน เป็นวัยที่เพศหญิงหยุดการมีประจำเดือน และไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ซึ่งอายุของวัยทองจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 48-52 ปี หรืออาจเกิดจากการผ่าตัดนำรังไข่ทั้งสองข้างออก ทำให้ไม่สามารถสร้างฮอร์โมนได้ หรือเกิดจากโรคบางชนิด หรือการใช้ยาเคมีบำบัดช่วงก่อนที่จะหมดประจำเดือน จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

อาการวัยทอง

  • ประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • ร้อนวูบวาบ
  • เหงื่อออก
  • วิตกกังวล
  • ใจสั่น
  • มีปัญหาด้านการนอนหลับ
  • อารมณ์เปลี่ยนแปลง
  • หงุดหงิดง่าย
  • ช่องคลอดแห้ง
  • ติดเชื้อและคันในช่องคลอด
  • เจ็บเมื่อมีเพศสัมพันธ์

อาการต่าง ๆ เหล่านี้อาจเกิดได้เป็นเวลาตั้งแต่ 2-8 ปี และโดยเฉลี่ยที่ 4 ปี ซึ่งเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนอย่างสมบูรณ์ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และเทสโทสเทอโรนลดลงอย่างมาก และฮอร์โมน FSH และ LH จะเพิ่มขึ้น ทำให้มีผลต่อความรู้สึกทางเพศ มีการเปลี่ยนแปลงทางผิวหนัง มวลกระดูกบางลง ส่งผลให้กระดูกเปราะ แตกง่าย เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ หลอดเลือด และหลอดเลือดสมอง

การตรวจวินิจฉัยอาการวัยทอง

การตรวจระดับฮอร์โมนจะสามารถวินิจฉัยภาวะหมดประจำเดือนได้ โดยจะพบว่ามีระดับฮอร์โมน FSH ที่สูงขึ้น และฮอร์โมนเอสโตรเจนชนิด estradiol (E2) ลดลง

การดูแลในช่วงวัยทอง และ การใช้ฮอร์โมนเสริม 

แม้การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนต่าง ๆ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงตามอายุที่เป็นปกติ แต่ระดับฮอร์โมนที่ลดลงอาจส่งผลให้เกิดอาการที่ไม่สุขสบาย เช่น อาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกกลางคืน นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน ช่องคลอดแห้ง การลดความรู้สึกและอารมณ์ทางเพศ

รวมถึงความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น กระดูกพรุน เพิ่มมากขึ้น หากอาการต่าง ๆ เป็นไม่มาก ร่างกายสามารถปรับตัวเพื่อให้ตอบสนองอย่างเหมาะสมได้

ฮอร์โมนผู้หญิง

ฮอร์โมนทดแทนวัยทอง มีกี่ชนิด

อย่างไรก็ตามในผู้ที่มีอาการรุนแรง การใช้ฮอร์โมนเสริมเพื่อทดแทนฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างลดลง จะช่วยลดอาการต่าง ๆ รวมถึงป้องกันการเกิดกระดูกพรุนในระยะยาว

ฮอร์โมนที่ใช้มีทั้งกลุ่มฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนเอสโตรเจนร่วมกับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน และมีทั้งในรูปแบบการรับประทาน แผ่นแปะ เจล หรือเจลหล่อลื่นสำหรับใช้รักษาภาวะช่องคลอดแห้งโดยเฉพาะ ปริมาณของฮอร์โมนในแต่ละรูปแบบมีขนาดแตกต่างกันไป

ทั้งนี้ การใช้ฮอร์โมนทดแทนอาจส่งผลเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งบางชนิด และโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงมีข้อห้ามในการใช้ในผู้ป่วยบางกลุ่ม จึงควรมีการปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจระดับฮอร์โมนและพิจารณาการใช้ยา รวมถึงปรับขนาดอย่างอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม ไม่ควรซื้อฮอร์โมนทดแทนรับประทานเอง

นอกจากนี้ หากมีอาการของวัยหมดประจำเดือนอาจปรึกษาแพทย์เพื่อให้ยาอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ฮอร์โมนเพศเพื่อบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นได้ด้วย เช่น ยากลุ่ม SSRIs, SNRIs และยากลุ่ม selective estrogen receptor modulators (SERMS) เป็นต้น

บทความโดย นพ.มฆวัน ธนะนันท์กูล สูตินรีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช และเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลสมิติเวช

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo