วันนี้เรามีแผนไปเที่ยวปูซาน เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสอง และเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ จองตั๋วรถไฟ KTX ผ่านเว็บมาจากประเทศไทย และนำไปแลกตั๋วจริงที่สนามบินอินชอน เลือกรถไฟรอบ 6.25 น. เพื่อที่เราจะได้มีเวลาเที่ยวปูซานได้อย่างเต็มที่ เดินมาถึงสถานีรถไฟ Seoul Station สถานีหลักที่เป็นจุดเชื่อมต่อทั้งรถไฟใต้ดิน, Airport Express และรถไฟความเร็วสูงวิ่งข้ามจังหวัด สถานีที่นี่ใหญ่มาก แต่เดินแล้วไม่หลงเพราะมีป้ายบอกทางชัดเจน สะอาดสะอ้าน มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ล็อกเกอร์ฝากกระเป๋าก็มีให้ใช้บริการ
เมื่อใกล้เวลารถไฟออกเราก็เดินไปรอที่ชานชลา มองไปรอบๆ อากาศที่โซลวันนี้ดีจัง ปลอดโปร่งท้องฟ้าสดใส รถไฟออกตรงเวลาเป๊ะ ขึ้นรถไฟแล้วจะทำอะไรล่ะ เช้าขนาดนี้ก็นอนสิคะ …
หลับไปซักพักได้ยินเสียงอะไรแว่วๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาหันไปมองวิวผ่านกระจก อ๋อเสียงฝน ฝนตก!! เมื่อเช้าฟ้ายังโปร่งอยู่เลยทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ ได้แต่ภาวนาว่าพอถึงปูซานแล้วฝนคงหยุดตก แต่คำภาวนาของเราไม่เคยเป็นจริง!!
รถไฟจอดสนิทที่ปลายทาง Busan Station จุดหมายของเราในวันนี้ สายฝนยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่เกรงใจค่าตั๋วรถไฟของเราเลยซักนิด เดินวนอยู่ในสถานีคิดว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี จะรอฝนหยุด หรือว่าจะออกไปทั้งที่ฝนยังตกอยู่แบบนี้ มองซ้ายมองขวาเกือบแทบทุกคนแวะซื้อร่มที่ร้านขายของชำภายในสถานี
เอาล่ะชีวิตเราต้องไปต่อจะมายืนรอแบบนี้ไม่ได้ ว่าแล้วก็หยิบร่มจ่ายเงิน แล้วเดินออกมาลงรถไฟใต้ดินเพื่อไปหมู่บ้านวัฒนธรรม Busan Gamcheon Culture Village ตามแผนที่เราวางไว้ นั่งรถไฟใต้ดินมาต่อรถเมล์ บนรถเมล์ที่นี่ไม่มีภาษาอังกฤษ ชื่อของป้ายรถเมล์เป็นภาษาเกาหลีทั้งหมด จะลงถูกป้ายมั้ยล่ะทีนี้ เราอาศัยมองข้างทางแล้วคิดเอาเองว่าที่นี่ต้องใช่หมู่บ้านที่ตามหา และอีกอย่างที่ไหนที่คนลงเยอะที่นั่นต้องเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแน่ๆ
ในที่สุดเราก็มาถึง Busan Gamcheon Culture Village บ้านเรือนสีลูกกวาดที่เต็มไปด้วยงานศิลปะบนผนังเรียงตัวลดหลั่นกันตามเนินเขาปกคุลมด้วยไอหมอกและสายฝน หมู่บ้านนี้ยังคงมีชาวบ้านอาศัยอยู่อย่างปกติ ดังนั้นเราเวลาเดินเที่ยวเราจึงไม่ควรส่งเสียงดัง หรือทำอะไรรบกวน เราเดินลัดเลาะไปตามซอกซอยขึ้นลงบันไดไปหลายขั้น ถึงแม้จะดูป้ายแผนที่ตามทางเราก็ยังเดินหลงตามเคย กว่าจะหาทางออกเจอก็เล่นเอาเหนื่อยอยู่เหมือนกัน ตามแผนที่วางไว้หลังจากเดินเล่นที่หมู่บ้านนี้เสร็จแล้วเราจะไป Oryukdo Sky Walk ทางเดินลอยฟ้าพื้นกระจกที่ยื่นออกไปในทะเล แต่ดูสภาพอากาศแล้วทางเดินต้องปิดแน่ๆ
เราเลยเปลี่ยนแผนมุ่งหน้าไปยัง Gwangalli beach หนึ่งในชายหาดที่สวยงามยอดฮิต เพื่อจะไปดูวิวสะพาน Gwangan ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของปูซาน การเดินทางที่ปูซานสะดวกไม่แพ้โซล เพราะมีรถไฟใต้ดินไปถึงจุดสำคัญของเมือง แต่ที่ลำบากหน่อยก็คือรถบัสที่ไม่มีภาษาอังกฤษ เลยทำให้เราคิดได้ว่า การมาเที่ยวต่างประเทศเราควรจะจดหรือเซฟชื่อสถานที่ที่เป็นภาษาท้องถิ่นเอาไว้ เพื่อไว้เปรียบเทียบตัวอักษรที่ป้ายรถเมล์ ไว้ให้แท็กซี่ดู หรือเอาไว้ถามทางเวลาหลง
เรานั่งรถไฟใต้ดินมาถึงสถานี Gwangan เดินต่อจนมาถึงชายหาด Gwangalli beach ภาพชายหาดที่ไร้ผู้คน และสะพาน Gwangan อันเลือนลางอยู่ตรงหน้าท่ามกลางสายฝน ทำให้เราตกตะลึงในความยิ่งใหญ่และสวยงาม ถึงแม้ว่าจะมองแทบไม่เห็นอะไรก็ตาม เราเดินเก็บบรรยากาศตั้งแต่ต้นหาดจนเกือบสุดหาด รองเท้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนเริ่มส่งสัญญาณว่าเราควรจะหยุดพักเปิดโอกาสให้ถุงเท้าและรองเท้าได้หลบน้ำฝนที่ขังอยู่ตามถนนบ้าง ว่าแล้วเราก็นั่งรถไฟใต้ดินเพื่อไปยังย่าน Nanpodong แหล่งช็อปปิ้งของปูซาน
แต่ก่อนจะถึงแหล่งช็อปปิ้ง เราแวะที่ Jagalchi Fish Market ตลาดปลาและอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีกันก่อน ตลาดที่นี่สามารถเลือกซื้ออาหารทะเลสดๆ แล้วให้ทางร้านปรุงหรือทำซาซิมินั่งทานได้เลย ทำให้ระหว่างเดินในตลาดเราจะได้ยินเสียงอาจุมม่าตะโกนเรียกลูกค้าเข้าร้านตลอดทาง แต่ด้วยความที่เป็นคนแพ้อาหารทะเลจึงทำให้ไม่กล้ากินอะไรที่เป็นซีฟู้ด อีกอย่างกลิ่นคาวของตลาดปลาที่นี่ทำให้เราเดินได้แค่แป๊บเดียว ขอตัวไปแหล่งช็อปปิ้งดีกว่า เราเดินมาจนถึง Nanpodong เลยแวะหลบฝนเข้าร้านกาแฟนั่งพักกินของหวานเพิ่มพลังก่อนกลับโซลสักหน่อย ย่านนี้เปรียบแล้วก็เหมือนตลาดมยองดงที่โซล ที่มีทั้งของกิน เครื่องสำอางค์ เสื้อผ้า รองเท้าให้เลือกซื้อ และด้วยปริมาณน้ำฝนในรองเท้าที่เปียกจนเท้าเกือบเปื่อย เราเลยตัดสินใจซื้อรองเท้าคู่ใหม่ในงบประมาณ 300 บาท ค่อยสบายเท้าขึ้นมาหน่อย
เย็นแล้วได้เวลาเดินทางกลับโซล จองตั๋วรถไฟรอบ 19.50 น. ไว้ ถึงโซลก็น่าจะประมาณสี่ทุ่มกว่า จากการคำนวนเวลาแล้วเราเลยฝากท้องมื้อเย็นไว้ที่สถานีรถไฟ Busan Station กินมื้อเย็นอิ่มจะได้นอนหลับยาวบนรถไฟไปเลย หลังจากเดินดูเมนูทุกร้านในสถานี มื้อเย็นของเราก็จบลงที่ร้านข้าวยำบิบิมบับ อยู่ที่ไทยเราชอบกินเมนูนี้มาก แต่มักไม่ค่อยเจอร้านอร่อยๆ เลยอยากลองชิมรสชาติต้นตำหรับฉบับเกาหลีดูว่าจะเป็นยังไง
หลังจากสั่งอาหารแล้วก็ไปนั่งรอ อาจุมม่าเรียกคิวรับอาหารเป็นภาษาเกาหลี ในขณะที่เราก้มมองตัวเลขคิวบนใบเสร็จซึ่งเป็นเลขอารบิก อ้าว!! แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าถึงคิว รอจนกระทั่งอาจุมม่าเดินมาตามถึงโต๊ะเราถึงได้ข้าวยำที่สั่งไว้ ชามข้าวที่นี่ใหญ่โตมโหฬารมาก ชามเดียวแต่ได้ปริมาณเหมือนกิน 2 คน เทียบราคากับรสชาติแล้วถือว่าคุ้ม หลังจากกินอิ่มก็ได้เวลาโบกมือบ๊ายบายปูซาน ขึ้นรถไฟกลับโซล
รถไฟมาถึง Seoul Station เดินกลับที่พักด้วยบรรยากาศท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้วี่แววของละอองฝน ทำไมมันช่างแตกต่างจากปูซานที่ฝนตกไม่หยุดตั้งแต่เช้าจนเย็น กลับมาถึงที่พักรื้อกระเป๋าออกมาตากของข้างในเปียกหมดรวมทั้งสมุดไกด์บุ๊คที่เราจดข้อมูลท่องเที่ยวไว้ก็เปียกไปด้วย เราได้แต่บ่นกับตัวเองว่าเสียดายที่ทริปปูซานพังไม่เป็นท่า โทษฟ้าฝนทำไมฝนต้องมาตกวันที่เราไปด้วย เสียดายเงินค่าตั๋วรถไฟ เสียดายที่ฟ้าปิดจนมองไม่เห็นสะพาน Gwangan
แต่พอมานึกดูอีกทีธรรมชาติก็คือธรรมชาติเราห้ามให้ฝนไม่ตกไม่ได้ แต่ถ้าเราเช็คพยากรณ์อากาศก่อนเดินทางเราก็เลี่ยงวันฝนตกได้ บางทีเราอาจต้องเริ่มมองที่ตัวเราเองก่อนที่จะโทษสิ่งอื่น ถ้าเรารอบคอบกว่านี้ทริปปูซานอาจไม่พัง เอ๊ะ! หรือว่าปูซานอาจจะอยากให้เรากลับไปหาอีกครั้งก็เป็นได้