Entertainment

‘เอ พศิน’ เปิดเรื่องลี้ลับที่ทำให้ ‘แตงกวา’ เปลี่ยนไป เผยคำมั่นสัญญาต่อพ่ออดีตภรรยา

อนาคตจะเป็นยังไงไม่รู้สำหรับคู่ของ เอ พศิน กับอดีตภรรยา แตงกวา จิราพร เพราะตอนนี้ทั้งคู่รู้เพียงแค่ว่าได้ทำหน้าที่พ่อกับแม่ให้ดีที่สุดและอย่างมีความสุขก็เพียงพอ เมื่อได้มาเป็นแขกรับเชิญในรายการ Club Friday Show ผลิตโดย CHANGE2561 ทั้ง เอ พศิน และ แตงกวา ก็ได้เปิดใจเล่าทุกเรื่องราวความรักต้นแต่เริ่มต้นจนความหวานหมดไป เหลือเพียงความห่วงใยและหวังดีต่อกันในฐานะกัลยาณมิตร ที่ดีต่อกัน งานนี้ เอ พศิน ยังได้เปิดคำมั่นสัญญาของลูกผู้ชายคนหนึ่งที่ให้ไว้กับพ่อของอดีตภรรยาอีกด้วย

16 เอ พศิน1

เอ พศิน : คุณพ่อ แตงกวา เขาเป็นคนดุมากครับ หน้านิ่งมากมีซิกแพคแบบ โอ้โห….ปีนต้นมะพร้าวแบบขึ้นได้เลย คุณพ่อ เขาแก่กว่าผม 5 ปีเอง

แตงกวา : คือ สำหรับตัวแตงเอง คือ สนิทกับพ่อมาก แล้วหนูเป็นสายอ้อนพ่อด้วย เลยจะรู้จักนิสัยพ่อดี คือ ดุก็คือดุ แต่เขาจะเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด พูดน้อยมาก แต่พอเราปรึกษาท่านจะเข้าใจเราทุกอย่างทุกเรื่อง

ตอนนั้นเมื่อรู้ว่าน้องมาแล้วก็ตัดสินใจไปเจอคุณพ่อคุณแม่ แตงกวา ?

เอ พศิน : ไม่ได้ไปเจอครับ คุณพ่อมา เพราะว่าตอนนั้นน้องจบผู้ช่วยพยาบาลพอดี แล้วมาทั้งครอบครัวเลย ก็มาที่คอนโดผม เขาก็งง ๆ ตอนแรกคือ ผมก็โทรไปคุยกับเขาก่อนว่าพ่อเดี๋ยวผมจะดูแลน้องให้ดีที่สุดจะรับผิดชอบทุกอย่างนะครับ พ่อก็งงว่าเรื่องอะไร แม่ไม่ได้บอก แต่พอมาถึงกรุงเทพฯ ก็ได้คุยได้เจอหน้ากัน ก็ขอขมาผูกข้อมือเลย มัดมือชกที่คอนโดเลยครับ พ่อยังงงอยู่เลย แล้วผมก็ให้สัญญากับพ่อ แตงกวา ไว้วันนั้นนะครับ ว่าจะดูแลไม่ทอดทิ้งลูกสาวของเขาตลอดชีวิตผมครับ ตอนนั้น คือ เรายังมีเงินไม่เท่าไหร่มีแค่แสนต้น ๆ เองครับ เรื่องแต่งงานน่าจะต้องรอไปก่อน แล้วให้ แตงกวา มาอยู่ด้วยกัน และเราก็ต้องรีเซ็ตตัวเองใหม่หมดเลยเพราะเราคิดว่าเราจะเป็นหนุ่มโสดจนแก่ตายคนเดียวครับ

แตงกวา : วันนั้น คุณพ่อ ก็ไม่ได้โกรธอะไร เขาก็นิ่ง ๆ แล้วก็พูดว่า อืม เหรอ เออ ดี แต่ด้วยความที่เราสนิทกับพ่อเรารู้เลยว่าท่านดีใจ ที่มีคนดีคนหนึ่งที่พ่อเหมือนสแกนรู้ เป็นคนใจเย็น เป็นคนใจดีและเป็นคนนิ่ง ๆ มาดูแลเรา เขาก็ดีใจ

16 เอ พศิน4

แต่ก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่า แตงกวา เปลี่ยนไป ?

แตงกวา : ตอนนั้น พี่เอ เขาก็น่าจะสัมผัสได้ว่าเดินใกล้ก็ไม่ได้แล้ว เพราะรู้สึกว่าไม่อยากเข้าใกล้เลย แบบพอเขามาใกล้ ๆ เราก็จะหงุดหงิด มันเป็นอย่างนี้เลยนะคะ นานเลยที่เป็นอาการแบบนั้นเกือบครึ่งปีได้เลยค่ะ

เอ พศิน : มีช่วงหนึ่งเหมือนแพ้ครับ อาการเขาเหมือนคนแพ้ท้องแล้วไม่อยากอยู่ใกล้เรา แต่ตอนนั้นคือ เลโก้ ก็คลอดแล้วนะครับ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเคสหนึ่งที่เป็นเรื่องเหลือเชื่อเหมือนกัน คือ เราไปพิสูจน์เรื่องลี้ลับในสถานที่แห่งหนึ่งด้วยกัน ตอนนั้นเขาจ้างแพงก็เลยไปเป็นแขกรับเชิญรายการโทรทัศน์ เป็นสุสานหลายร้อยปี มีศพอยู่จริงเราก็เข้าไปด้วยกันแล้วเขาห้ามเอาวัตถุมงคลเข้าไป แต่ แตงกวา แอบเอายันต์ท้าวเวสสุวรรณเข้าไป ผมต้องไปนอนในหลุมที่เคยมีศพอยู่เขาก็เลยเอายันต์ให้ผม ตอนนั้นยังไม่มีปัญหาอะไรกันเลยนะครับ ตอนนั้นคือ เรายังหวานมากจนเลี่ยนเลย พอเขาเอายันต์ใส่ให้ผมแล้วผมก็ลงไปนอนอยู่ดี ๆ ก็มีลมพัดจากพื้นเข้าไปหาเขา เขาก็ขนลุกวูบ แล้วหลังจากนั้นกลับมาเขาก็เริ่มเปลี่ยน คือ บางทีผมรู้สึกว่าเขาเหมือนผู้ชายมากขึ้น (อันนี้ต้องบอกก่อนนะครับว่าเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล) สายตาเขาก็ไม่เหมือนเดิม ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วเหมือนกับว่าเคมีมันเริ่มเปลี่ยนข้างใน ซึ่งผมก็ไม่คิดมันจะเป็นเหตุเป็นผลแต่ว่ามันก็แปลก แล้วหลังจากนั้นเขาก็ฝันเห็นพญานาค

แตงกวา : คือ เราไม่เคยฝันเห็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นเลย แล้วอยู่ ๆ หนูก็ฝันเห็นพญานาคกลายเป็นร่างผู้ชายเขามาโอบกอดเราแล้วก็บอกว่าหนีเขาไปทำไม ทำไมไม่อยู่กับเขา พอเราตื่นขึ้นมาเราก็งงว่าใคร หนีอะไร เราก็ไม่เชื่อ แต่พอสักพักหนี่งบังเอิญคนชวนไปเชียงราย แล้วเราก็ไปเจอวัดหนึ่งที่อยู่กลางแม่น้ำพอไปถึงวัดเราก็ไปถามพระอาจารย์ว่าที่นี่มีถ้ำใช่ไหมคะ คือ เราถามเหมือนในความฝันที่เราฝัน พระอาจารย์บอกมี

เอ พศิน : หลังจากนั้นเขาก็เริ่มมีสัมผัสพิเศษ คือ เรื่องสัมผัสพิเศษในครอบครัวของเราเริ่มจากตรงนั้นเลย ในช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างผมก็แบบปฏิบัติธรรมเยอะ นั่งสมาธิเยอะ ทำบุญเยอะ ทำให้เวลาที่เราเจอเหตุการณ์อะไรที่เราคาดไม่ถึงเราสามารถควบคุมจิตใจเราให้เย็นได้ ซึ่งเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงไปกับความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ด้วย มันจะค่อย ๆ บางคนก็บอกว่าเป็นบททดสอบในชีวิตของเรา อดีตชาติบ้างอะไรบ้าง ผมก็มองในมุมที่เป็นความเชื่อส่วนบุคคลว่าอาจจะเป็นคู่เก่าของเขาที่เขาฝันเห็น

เอ พศิน : คือ เหตุการณ์ทั้งหมดเกินในช่วงที่เขายังผมยาวอยู่ ซึ่งอยู่ดี ๆ เขาก็รู้สึกอยากจะตัดผมให้สั้นโดยที่ไม่รู้สาเหตุนะครับ เราก็ไปหาร้านตัดผมกี่ร้านก็ไม่ได้ตัด (ซึ่งก่อนไปตัดผมเขาไปไหว้พระพิฆเนศมาก่อนไปขอพร) ร้านไหนก็ไม่รับเพราะคิวเต็มทุกร้านเลยครับ หรือไม่เขาก็บอกว่าร้านปิดแล้ว เขาก็เลยไปร้านหนึ่งที่แบบร้านสุดท้ายที่เขาร้านเขาก็บูชาพระพิฆเนศอยู่ ปรากฏว่าร้านนั้นตัดให้เขา แล้วเขาก็เอาผมยาว ๆ ของเขากลับมาบ้าน ซึ่งไม่รู้ว่าเอากลับมาทำไม พอผมกลับมาที่บ้านเขาก็เดินหนี เดินหลบไปหลบมาไม่ยอมเจอหน้า แล้วพอมาเจอหน้ากันกลางบ้านเขาก็ลงไปดิ้นกับพื้น เหมือนจะช็อกน้ำตาไหลไม่หยุด

แตงกวา : ตอนนั้นที่เราเกิดอาการแบบนั้นเพราะว่าเราปวดหัว เพราะที่เราเลี่ยงที่จะไม่เจอเขาแต่พอมาเจอหน้าเขาคือ เราเกิดอาการน้ำตาร่วง แล้วก็กำหัวตัวเองแบบมันควบคุมตัวเองไม่ได้ค่ะ แล้วเราก็ไม่ได้คิดไปเองด้วยนะคะ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นเราจำได้ทุกเหตุการณ์ แต่ควบคุมการกระทำตัวเองไม่ได้ค่ะ เราตอนนั้นคือ จิกผมร้องไห้ ขอโทษป๊า ขอโทษทุกอย่างที่เกิดขึ้น พูดอย่างนี้เลยค่ะ

เอ พศิน : ตอนที่เขาเกิดอาการแบบนี้ลูกก็อยู่นะครับ ตอนนั้นลูก 5 ขวบแล้ว เขาก็ไม่ได้ตกใจอะไรลูกยังบอกเรา ปะป๊า จัดการ แม่สิ (หัวเราะ) แม่ร้องไห้ทำไม ลูกคือนิ่งมาก ตอนนั้นผมก็เพิ่งกลับมาจากกรรมฐานไปฝึกสมาธิมาที่ปราสาทหินพนมรุ้งครับ แล้วผมก็นั่งสมาธิแล้วในใจของเรา (คิดไปเอง) เชิญพระศิวะ เชิญบารมีท่านว่าถ้าท่านมีอยู่จริง หรือว่าท่านจะเป็นพลังงานใด ๆ ก็ตามช่วยปัดเป่าสิ่งที่มันไม่ดีออกไป แล้วเราก็เอามือวางบนหน้าผากเขาแล้วเขาก็ค่อย ๆ มีสติขึ้นมา

แตงกวา : เราก็ค่อย ๆ มีสติขึ้นจากการที่แบบปวดหัวเหมือนจะระเบิดค่ะ แล้วก็ร้อน ๆ ในหัวมันก็เริ่มจางลง ตอนนั้นเราก็คุยกับพี่เอ แบบมีสติตลอด ตอนนั้นหัวเราก็ค่อย ๆ เริ่มเย็นลงแต่ก็ยังมีปวดหัวอยู่นิด ๆ แล้วเราก็บอก พี่เอ ว่า ป๊าเอาผมหนูมาเดี่ยวนี้ ๆ เอาไฟจุดผมหนูเดี๋ยวนี้ แล้วพอจุดไฟคือผมไม่ไหม้ด้วยค่ะ

เอ พศิน : ผมก็เอามือจับที่ผมของเขาที่เอากลับมาด้วยหลังจากที่ตัด มันเหมือนแบบไฟฟ้าวิ่งครับ จากแขนขึ้นไปแล้วไถลผ่านไหล่ไปเหมือนกับขนลุก เราก็คิดแล้วว่าเอาแล้วอย่างไรเนี้ย ภาพผมตอนนั้นนึกถึงตอนที่เราไปรายการนั้นด้วยกันคือ เขาให้ยิงปืนขึ้นฟ้าแล้วไล่วิญญาณทั้งหมดออกไปจากสุสานเราก็พูดตามสคริปต์ คือ ภาพมันกลับมาเลยเพราะว่าพลังงานพวกนี้มันชอบเกาะตามสรีระร่างกายและควบคุมจิตตอนนั้นคิดแบบนั้นนะครับ เราก็เลยเอาไปเผาไม่ไหม้

16 เอ พศิน2

ใครเป็นคนที่เริ่มว่าเราจะเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์เป็นแบบนี้ ?

แตงกวา : เป็นคนคิดเองค่ะ ตอนนั้นมันมีหลายอย่าง มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้ แตง ต้องคุยกับ พี่เอ เพราะพอเรามาคบกันและได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ มันทำไมไม่เหมือนตอนที่เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน

เอ พศิน : อย่างตอนจะหย่าเขาก็บอกเราตรง ๆ ว่าหย่าดีกว่าเพราะว่าเขาอยากพิสูจน์ตัวเอง เพราะเห็นป๊าทำงานแบบนี้ อย่างที่เห็นงานเยอะก็จริง แต่อาชีพนักแสดงถ้าวันหนึ่งเกิดป๊าการงานน้อยลงหรือทำงานไม่ไหวตอนนั้น แตง เขาก็คิดว่าเขาก็ช่วยเราไม่ทันแล้ว เขาก็เลยอยากทำงานที่ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น

แต่เหตุผลนี้ ก็ไม่น่าที่จะเป็นเหตุผลที่ต้องหย่าเลย แต่เพราะตั้งแต่ที่ แตงกวา ออกไปทำงานนอกบ้านตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น ?

แตงกวา : มันน่าจะเป็นความอิ่มตัวมากกว่าค่ะ กับความรัก แล้วเราก็รู้สึกว่าอยากอยู่แบบโสด ๆ มากกว่า ไปทำงานเขาจะได้ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องหวงว่าจะไปกับใครหรือเปล่า ก็จะได้ตัดความกังวลตรงนี้ไป แล้วอีกอย่างเราอยู่จนเราอิ่มตัว พอรักมาก ๆ แตง จะเป็นคนอิ่มเร็วมันเหมือนกับไปจุดเริ่มต้นที่เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันค่ะ มันย้อนกลับไปเหมือนเป็นเพื่อนกัน ไม่อยากเป็นสามีภรรยากัน แล้วในใจเราตอนนั้นนะ ก็เลยดึงพี่เอ บอกว่าเราอึดอัด (แต่กว่าที่เราจะพูดออกมากับพี่เอ เราก็ตามตัวเองนะคะ ว่ารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เหรอก็ทบทวนตัวเองมาเกือบ 2 ปีเลยค่ะ)

เอ พศิน : เขาก็พูดกับเราตรง ๆ นะครับ ว่าเขาอยากที่จะหย่า เพราะเขาบอกว่าเขาอยากทำอะไรอีกเยอะแล้วก็ไปนู้นไปนี่ แล้วคือไม่อยากให้เราห่วง หวง ตอนนั้นใจเราก็คิดนะครับ ว่าทำทีละอย่าง ไม่ต้องทำทุกอย่างและเราก็ยังซัพพอร์ตได้ แต่เป้าหมายในชีวิตของเขาคือ อยากให้ลูกสบาย อยากให้ลูกประสบความสำเร็จ เราก็เลยต้องยอมเพราะว่าเราไปขวางมันเป็นการตัดสินใจผิดของเรา เราเองก็จะเสียใจที่เราไปขวางเขา ซึ่งผมก็ไม่ได้ งง กับการที่เราต้องหย่ากันนะครับ เพราะว่าเราต่างกัน 22 ปี การผ่านประสบการณ์ในชีวิตมันต่างกันเยอะมาก เราก็เลยต้องรับฟังก่อน แต่สิ่งที่เราคุยกับเขาเนี่ยมีแต่ต้องให้กำลังใจเขาตลอด แล้วก็บอกเขาว่าบ้านหลังนี้ของลูกนะ เราไม่อยากให้ลูกขาดอะไร เพราะฉะนั้นต่อให้เราเปลี่ยนสถานะเราก็ไม่อยากให้ลูกอยู่ที่อื่น เพราะฉะนั้นถ้าลูกอยู่ที่นี่ได้ แตงกวา ก็อยู่ได้แต่ว่าต่อไปนี้มีอะไรคุยกัน

ทำไม ณ ตอนนั้นถึงรู้สึกว่าต้องหย่า ทั้ง ๆ ที่หย่าเสร็จก็อยากให้เขาอยู่ด้วยกันในชีวิตตลอดไปด้วย ทำไมต้อง นิตินัย ทำไมไม่แค่พฤตินัยก็ได้ ?

แตงกวา : เพราะว่าเราอยากเป็นอิสระไม่อยากมีคู่ชีวิตแล้ว คือ มันหมดรักแล้วเราจะรั้งกันไว้ทำไมก็อยากให้ พี่เอ ไปเจอคนที่มีความรักที่มันเป็นภรรยาอะไรจริง ๆ ซึ่งเรารู้สึกแบบนั้นเลยเพราะว่าก่อนหย่าเราก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันเลยเขาไม่ได้โดนตัวเราเลยประมาณ 1-2 ปีได้ค่ะ ถามว่าเรามีจะมีความรู้สึกหึงหวงเขาไหมไม่เลยค่ะ คือเราตัดขาดไปเลย

เอ พศิน : เขาก็เคยบอกเราว่าป๊าจะมีอีกคนก็ได้นะแล้วมาอยู่ด้วยกัน อยู่ในบ้านเดียวกัน (คือตอนนั้นเขาพูดแบบนั้นเลยนะครับ) แต่นี่คือก่อนจะตัดผม

แตงกวา : คือเพราะเราทำหน้าที่ได้ดีทุกอย่างเลยยกเว้นหน้าที่ของภรรยา

แล้วในช่วงที่หย่ากันแล้วมีกติกาอะไรในการอยู่ร่วมกันไหม ?

เอ พศิน : มันเกิดการให้เกียรติกันขึ้นโดยอัตโนมัตินะครับ ทุกวันนี้เราก็เหมือนเพื่อนกันที่แบบให้เกียรติกัน ห่วงใยกันเรื่องอาหารการกิน เรื่องลูก เรื่องงานเราก็จะปรึกษากัน ถ้าสมมติว่าเขาเจอคนนี้เขาก็มาปรึกษาเราว่าคนนี้เป็นยังไง สมมติผู้หญิงคนนี้มาชอบเราแบบเขาคลั่งรักรุนแรงมากป๊าว่าแบบนี้โอเคไหม เขาก็พาเราไปเจอนะครับ

ขออนุญาตถามคำถามหนึ่งเป็นไปได้ไหมว่า แตงกวา เพิ่งรู้ตัวในเชิงรสนิยมทางเพศที่เปลี่ยนไปของเรา ?

แตงกวา : ไม่เกี่ยวเลยค่ะ จริง ๆ เรารู้ตัวตั้งแต่ประถมแล้วค่ะ ว่าเราชอบอะไร เราเป็นอย่างไรคือ แตง ไม่ได้ระบุความรักของตัวเองตั้งแต่เด็กเลยนะคะ คือ มันไม่ได้ระบุที่เพศแต่มันระบุที่ว่าคุณกับฉันเข้ากันได้ไหมแค่นั้น ถ้าเอาชัด ๆ เลยก็คือ แตง ก็ไม่ใช่ทอมนะคะ แตง ก็เป็นคนคนหนึ่งถ้าคุณไม่มองเรื่องเพศก็คือ แตงกวา นี่แหละ เป็นตัวของแตงกวาเอง แตง จะไม่เปลี่ยนเพื่อให้อีกคนมารักแล้วคุณก็ไม่ต้องเปลี่ยนเพื่อให้ แตง ไปรัก ถ้า แตง จะรักคือ แตง รักที่ตัวของเขาเองถ้าพูดเราก็คือ ผู้หญิง ค่ะ แต่คือไม่ได้ระบุว่าต้องรักอะไรอย่างไร ไม่ได้เกี่ยวว่าต้องเป็นเพศอะไร แต่ถ้ารักคนนี้ก็คือรัก

16 เอ พศิน3

ที่พูดว่าถ้าพี่เอ ได้เจอใครที่รู้สึกว่าเป็นคนที่รักเขา และเช่นเดียวกัน แตงกวา อาจจะได้เจอใครที่เป็นคนรักที่เราอยากจะเริ่มต้นความรักอีกครั้ง แล้วเราจะเดินหน้ากันไปอย่างไร เช่น พี่เอ ก็ต้องยอมรับด้วยนะคนนี้คือคนที่ แตงกวา รัก หรือ ผู้หญิงที่จะมาอยู่เคียงข้าง พี่เอ แตงกวา ก็ต้องยอมรับด้วยนะ เลยอยากถามว่าสเต็ปต่อไปความรู้สึกและหวังดีในทางปฏิบัติ ?

เอ พศิน : ในทางปฏิบัติผมไปหลายคนแล้วครับ

ตอนนี้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่คือ ?

เอ พศิน : ถ้าจะพูดในมุมของผมก็เหมือนเป็นกัลยาณมิตร ก็ยังเป็นครอบครัว เป็นพี่น้อง เป็นเพื่อน เป็นที่ปรึกษา

แตงกวา : มันมากกว่าคำว่าครอบครัวและมากกว่าคำว่าชีวิตคู่และมากกว่าคำว่าคู่ชีวิต มันเหมือนเป้นพี่น้องที่คลานตามกันมาแล้วค่ะ

คำว่ามากกว่าคู่ชีวิต แต่สิ่งหนึ่งคือ ไม่ใช่สามีภรรยากันยังคงอยู่ในบ้านเดียวกันมีความเป็นพ่อและแม่ของลูก แต่การที่เราไม่สามารถใช้ชีวิตคู่ด้วยกันได้จริง ๆ คือการเลิกกันในฐานะสามีภรรยาแต่ยังอยู่ในบ้านเดียวกัน ความสัมพันธ์มันจะรู้สึกแบบวางตัวอย่างไรเวลาที่อยู่ด้วยกันมีแบบนี้บ้างไหม ?

เอ พศิน : มันเหมือนยากแต่ไม่ยากครับ เพราะว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันเกิดจากความเข้าใจกัน เข้าใจในสิทธิในชีวิตของกันและกัน เพราะทุกคนไม่สามารถที่จะทำให้ใครคิดเหมือนเราได้ ถ้าเราให้เกียรติเขารับฟังเขาเราสามารถที่จะเข้าใจเขาได้เนี่ยเราก็จะรู้ว่าบางทีเป้าหมายชีวิตของแต่ละคนก็สำคัญ ถ้าเราไม่ขัดขวาง ถ้าเราซัพพอร์ตดูแลหรือว่ารับฟังกันมากขึ้นเขาก็มีความสุขมากกว่าเดิมได้เหมือนกัน

เอ พศิน : ส่วนลูกชาย น้องเลโก้ ผมไม่ห่วงเลยนะในเรื่องของความเข้าใจเพราะว่าเขาแทบไม่ต้องอธิบายอะไรเลย เหตุผลคือเขาเป็นลูกเราแล้วเขาก็อยู่กับเราตลอดเวลา แล้วบางทีเขาก็ถามแม่ว่าแบบแม่หล่อไปแล้วนะ แม่ไม่ต้องหล่อหรอก บางทีเขาก็ถามว่าแม่มีสาวแล้วปะป๊าล่ะ สาวปะป๊าอยู่ไหน เขามีความเข้าใจ แล้วเขามีความสุขกับการที่เราให้เวลาเขาเยอะมากแทบจะทั้งหมดครับ

ในการเปลี่ยนสถานะภาพ แต่ยังเป็นกัลยาณมิตรก็อย่างที่ น้องเลโก้ แซวว่าคุณแม่อย่าหล่อไปนะ ก็เพราะว่ามีสาวรุม ?

แตงกวา : ก็มีมาเที่ยวที่บ้านเรื่อย ๆ เพราะว่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ กัน แล้วเราก็มองว่าก็เป็นผู้หญิงด้วยกันไม่เสียหายอะไรที่เขาจะมาเที่ยวที่บ้านกินข้าว เลโก้ เขาก็ดีใจด้วยนะคะ

เอ พศิน : ซึ่งผมก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะผมก็ชอบผู้หญิงอยู่แล้ว คือ แตงกวา มีเพื่อนผู้หญิงเยอะไม่เป็นไร เรายินดีต้อนรับครับ บางทีเขาก็ยังแนะนำให้เราด้วยว่าคนนี้น่าจะเข้ากับ ป๊า ได้นะ

และทั้งคู่ก็ยังเป็นที่ปรึกษาความรักให้แก่กันและกัน และคัดกรองคนให้แก่กันและกันด้วย ?

แตงกวา : ต้องคัดค่ะ เพราะว่าคนที่จะเข้ามาเขาจะไม่ได้เจอแค่ พี่เอ คนเดียว เพราะต้องเจอเรา ต้องเจอ เลโก้

เอ พศิน : ต้องรักเด็กจริง ๆ เข้ากับเด็กได้ แล้วก็ต้องเข้าใจสถานะภาพเราด้วย เพราะว่าเป็นไปไม่ได้ที่ถ้ามีเราแล้วจะไม่มี แตงกวา จะไม่มีลูก คือคนที่เข้ามาต้องใช้ความเข้าใจอย่างเข้มข้นเลยทีเดียว

แตงกวา : บางคนก็เข้าใจว่าจะอยู่อย่างนี้ตลอดเลยเหรอ มันไม่ใช่ค่ะ ทุกคนที่เข้ามา แตง ก็จะบอกว่าต้องอยู่จนกว่าลูกของฉันจะโต จนดูแลตัวเองได้ คือ พอลูกโตให้ลูกตัดสิน เราก็อาจจะแยกไปซื้อบ้านที่อยู่ข้าง ๆ กัน เพื่ อเลโก้ อยากเดินมาหาบ้านแม่ บ้านพ่อ อันนี้คือวางอนาคตไว้แล้วค่ะ ว่าแยกแน่นอนคนละหลังแต่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน

เอ พศิน : ถ้าใครที่จะเข้ามาก็ต้องมาคุยกันแบบผู้ใหญ่สามคนเพราะว่าตอนนี้ก็ยังเป็นครอบครัวกันอยู่

มีโอกาสไหมกับความสัมพันธ์แบบนี้ที่เรารู้สึกว่ามันแน่นแฟ้นกว่าอีก ว่าวันหนึ่งข้างหน้าที่สุดแล้วก็คือคู่ชีวิตกันนั่นแหละ ?

เอ พศิน : หมอดูเก่ง ๆ ยังทำนายอนาคตได้ไม่แม่นยำเท่าไหร่เลย เพราะฉะนั้นไม่มีใครทำนายอนาคตได้ผมคิดว่าปัจจุบันเรามีความสุข เรามองเห็นพรุ่งนี้ใกล้ ๆ เรามีความสุขแล้วเราก็มีความลงตัวในชีวิตแล้วเราก็มีเป้าหมายเดียวกันผมว่าน่าจะมากพอแล้ว

สามารถชมคลิปย้อนหลังได้ทางยูทูบ : CHANGE2561

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo