Entertainment

วินาทีแม่ชกหน้าตัวเอง ดึงสติ ปั้นจั่น ปรมะ ช่วงดิ่งสุดของชีวิต น้อยเนื้อต่ำใจในวงการ

วินาทีแม่ชกหน้าตัวเอง ดึงสติ ปั้นจั่น ปรมะ น้อยเนื้อต่ำใจในวงการ ชีวิตดิ่งที่สุดก้าวข้ามผ่านมาได้

เมื่อ ปั้นจั่น ปรมะ มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show ได้เปิดเรื่องราวในชีวิตพร้อมเผยความรักแบบทุกซอกทุกมุมในใจ เพราะอุ่นใจที่ได้มานั่งคุยมานั่งเล่าที่นี่เป็นที่แรก เผยคุณแม่เป็นคนที่มีอิทธิพลต่อปั้นจั่นมากช่วยให้ในช่วงหนึ่งในชีวิตดิ่งที่สุดก้าวข้ามผ่านมาได้

5 ปั้นจั่น ปรมะ 2

คุณแม่เป็นคนที่มีอิทธิพลต่อปั้นจั่นมาก ซึ่งช่วงหนึ่งในชีวิตเราเป็นคนมีความรุนแรงของการแสดงออก มีต่อยหน้าตัวเองด้วยในบางครั้งถ้ามันไม่ได้ดั่งใจ อะไรที่พาเราไปสู่โหมดนั่น

“ทุกครั้งที่ออกมาพูดในรายการเรื่องของการเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งหลายคนเป็นจะบอกว่าทุกครั้งที่คนที่เป็นโรคนี้ออกมาพูดไม่ได้ต้องการเรียกดราม่าและไม่ใช่ข้ออ้าง แต่เราแค่อยากจะมาแชร์ แต่ว่าต้องบอกว่าความรุนแรงนี้ปั้นมานั่งวิเคราะห์พิจารณาแล้วมันเกิดจากการที่แบบ คือมีช่วงหนึ่งปั้นจะทำร้ายร่างกายตัวเองในการแก้ปัญหาทุกครั้งอะไรที่เราแก้ปัญหาไม่ได้แล้วเรารู้สึกอึดอัดเราจะโทษตัวเอง เราจะไม่ทำคนอื่นเพราะเรากลัวคนอื่นเจ็บส่งผลกระทบแบบนี้ เราจะกลับเข้าห้องเราจะแก้ปัญหาแบบนี้ชกหน้าตัวเองบ้าง ต่อยตู้บ้าง เอาหัวโขกตู้บ้าง ต่อยกระจกรถบ้าง

ผมว่าถ้าให้ผมแชร์ประสบการณ์ผมว่าตอนเด็ก ๆ ครอบครัวมีส่วนสำคัญสมัยเด็กคุณพ่อคุณแม่ทะเลาะกัน อันนี้ไม่ได้โทษคุณพ่อคุณแม่นะครับ (เหมือนเราได้เห็น?) ก็มีส่วนนิดหน่อย แต่ว่าตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่ทะเลาะกันเราบอกว่าอย่าทะเลาะกัน เราพยายามจะใช้เหตุผลให้เขาประนีประนอม สิ่งแรกที่คุณพ่อแม่พูดมาคือเรื่องของผู้ใหญ่เด็กอย่ามายุ่ง ณ ตอนนั้นเนี่ยเราอาจจะเด็กก็จริง แต่เราก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวในมุมหนึ่งที่ผู้ใหญ่สองคนเขาขาดสติแล้วทะเลาะกัน ผมว่าเด็กอาจจะเห็นมุมมองอะไรที่มันมีเหตุผลมากกว่าสองคนนั้น ผมก็อยากให้เขาพูดกันดี ๆ ใจเย็น ๆ แล้วค่อยมาคุยกัน

ตอนนั้นเขาทะเลาะกันหนักมากข้าวของคือแบบปิดประตูปึงปัง ผมไม่ชอบความรู้สึกนั้น เขาไม่ฟังสิ่งที่เราพูดเลย เราตะโกนเท่าไหร่เขาก็ไม่ฟัง เขาก็ยังตะเบ็งเสียงใส่กัน ผมก็ใช้วิธีการไม่หยุดใช่ไหม ไม่หยุดผมก็ต่อยตัวเอง ใครเห็นก็ต้องตกใจแหละ เราต่อยตัวเองหนักมาก ต่อยจนเลือดกลบปากตอนนั้นผมอายุประมาณ 16-17 ปีครับ ตอนนั้นเคยคิดว่าจะวิ่งไปห้องคุณตาไปเอาปืนจะมายิงขาตัวเองเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่หยุดทะเลาะกัน แต่ที่เราต่อยตัวเองปรากฏว่าเขาหยุด ผลลัพธ์คือเขาหยุด ผมเลยรู้สึกว่าการทำแบบนี้คือการแก้ปัญหาได้หยุดทุกคนในครอบครัวได้ ยิ่งเขามาแรงเราต้องแรงมากกว่า (เพื่อทำทุกอย่างให้เป็นไปอย่างใจของเรา?) ใช่ นั่นคือการแก้ปัญหา

5 ปั้นจั่น ปรมะ 3

พอผมโตขึ้นมันก็ติดอันนี้มาเรื่อย ๆ คราวนี้ไม่ได้มีปัญหากับครอบครัวมีปัญหากับตัวเอง ข่าวดราม่าถ้าทุกวันนี้หลายคนจะออกมาแก้ต่างกับตัวเองความคิดฉันไม่ใช่แบบนั้นนะ ไม่ใช่แบบนี้นะ แต่ตอนนั้นผมรู้สึกว่าการเงียบเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ตอบโต้แต่สุดท้ายแล้วมันเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าใจผิดในสิ่งที่เราสื่อออกไป ซึ่งนั่นเป็นทริกเกอร์อย่างหนึ่งในการที่ทำให้ผมดาวน์ลงเป็นซึมเศร้าอย่างสมบูรณ์แบบ ไปที่ไหนก็รู้สึกว่ามีคนมองเราในแบบที่เราไม่ได้เป็น มันทำให้เรารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมาก

ที่จริงเราโตมาแบบชีวิตไม่ได้เรียบง่ายทุกคนอาจจะคิดว่าผมแบบเป็นดาราแล้วดูทุกอย่างสบายแล้วผมถึงออกมาพูด ที่จริงผมอยากจะเรียกร้องสิ่งที่ดีขึ้นให้ทุกคนเหมือนกัน แต่มันอาจจะเป็นการสื่อสารที่ผิดหลังจากนั้นผมก็เริ่มเก็บตัวหมดแรงไม่อยากออกไปไหน รู้สึกว่าการหลับเป็นการที่ปิดสวิตช์แล้วไม่นึกอะไรที่ดีที่สุด ทุกครั้งที่ปิดไฟก็นึกภาวนาว่าขออย่าให้ตื่นอีกเลย พี่ฝนผู้จัดการ คุณแม่ต้องแบบนั่งคุยกันว่าอย่าให้ล็อคห้องผม พูดตรง ๆ ผมขี้ขลาดไม่กล้าฆ่าตัวตายหรอก แต่ผมคิดอยู่ตลอดเรื่องฆ่าตัวตายนะ ผมคิดแม้ตอนที่ผมขับรถอยู่ผมอยากจะหักจากทางด่วนอยากพุ่งชนเสาอยากให้มันเกิดอุบัติเหตุอะไรกับผมก็ได้ ผมไปดื่มจนถึงตีสองไม่อยากกลับบ้านจอดรถปิดกระจกขอให้มันตายเถอะแล้วก็ตื่นมา 10 โมง อ้าว .. ไม่ตายก็กลับบ้านจนวันหนึ่งผมคิด ๆ มันล่อง จนกระทั่งมันตกใจตัวเองเพราะว่าเหมือนเราเติมความรู้สึกนี้เข้าไปทุกวัน จนเรารู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งมันเต็มแล้วอยู่ดีๆ  เรากล้าขึ้นมาเมื่อไหร่มันก็แค่นิดเดียว

ระหว่างนั้นเราได้ไปหาหอมไหม ?

“ตอนนั้นยังครับ”

ตอนที่กำลังดิ่งและดาวน์ เรายังกลับมาทำร้ายตัวเองอีกไหม ?

“ที่จริงมีอยู่เรื่อย ๆ ครับ ตอนนั้นไปทำงานถ่ายผมก็นั่งกำลังสงบสติอารมณ์อยู่แล้วมีคนมีขอถ่ายรูปเราแบบไม่พร้อม เราก็ต้องแบบไปถ่ายรูปพอไปถ่ายรูปเสร็จพอผมเดินกลับมาผมตบหน้าตัวเองปัง คือลั่นธนาคารเลยคนก็หันมามองผมก็แบบก้มหน้าพอผมตบแล้วมันดาวน์ลง ตอนหลังผมปรึกษาหมอ มันมีทฤษฎีนะ คุณหมอบอกว่าวิธีการที่เราทำร้ายร่างกายตัวเอง ส่วนหนึ่งแล้วเวลาเราทำร้ายร่างกายแล้วเรารู้สึกดีขึ้น เวลาเราเจ็บร่างกายมันจะหลั่งสารตัวหนึ่งออกมาเพื่อให้เราแบบทุเลาลง มันส่งผลถึงอารมณ์มันก็ทำให้เรารู้สึกแบบโล่ง ซึ่งนี่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องนะครับ”

5 ปั้นจั่น ปรมะ 1

เพียงแต่ตอนนั้นปั้นจั่นอยากจะให้ใครสักคนวิเคราะห์หน่อยว่าฉันเกิดอะไรขึ้น เพราะเหตุการณ์ที่ทำร้ายร่างกายตัวเองมันหยุดได้ด้วยเหตุการณ์ใหญ่ในชีวิตเหมือนกัน

“ตอนนั้นทำร้ายตัวเองเรียกว่าถี่ก็ได้นะ วันนั้นต่อยแล้วคุณแม่อยู่ด้วยชกหน้าตัวเองชกไม่หยุด คุณแม่จับมือแล้วคุณแม่ก็ต่อยหน้าตัวเองปั้ง!! ผมช็อกเลย เพราะผมได้ยินดังปั๊บคุณแม่ต่อยเต็มแรงแล้วเขาก็จับมือผมแล้วบอกว่าเป็นยังไง รู้สึกอย่างไรเวลาที่ลูกทำตัวเอง ผมแบบช็อกเลยร้องไห้เลยยกมือไหว้ท่วมหัวเลย แม่ปั้นขอโทษ รู้แล้วว่าแม่เจ็บเวลาที่เห็นเราทำร้ายร่างกายตัวเอง”

นั่นคือช่วงหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องรักษาอย่างจริงจัง ?

“ใช่ครับ”

แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ภาวะต่าง ๆ เหล่านี้เรารับมือไหวไหม ?

“ผมไม่กล้าบอกว่ามันดีขึ้น หายขาดร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ทุกวันนี้เรารู้เท่าทันตัวเอง รู้เท่าทันจิตใจตัวเองสถานการณ์แบบนี้พอมันเกิดเรารับมืออะไรได้ดีขึ้นสิ่งแรกที่ยึดไว้คือไม่อยากผิดหวังกับอะไรทั้งสิ้นก็เลยเลือกที่จะไม่คาดหวังกับอะไรทั้งสิ้น ฉะนั้นในวันหนึ่งที่เดินออกไปผมจะไม่คาดหวังกับคน ไม่คาดหวังกับสถานการณ์ว่าจะออกมาดีหรือไม่ดีพอเราไม่คาดหวังเราก็จะไม่ผิดหวัง ผมจะแค่รู้สึกว่าผมไม่เอาอดีตมาทำร้ายอนาคตจะไม่กลัวก่อน แต่อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุดมีความสุขที่สุด ถ้าถามว่าตอนนี้มีเรื่องเครียดไหมมี .. แต่ยังมาไม่ถึงปัญหาในอนาคตมันต้องได้รับการแก้ไข แต่ถ้ามันยังแก้ไขไม่ได้ตอนนี้ก็ยังไม่ต้องแก้แต่เราเตรียมพร้อมที่จะแก้นะครับ”

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

เว็บไซต์: https://www.thebangkokinsight.com/

Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight

Twitter: https://twitter.com/BangkokInsight

Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/

Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg

Avatar photo