Telecommunications

ยื่นจดหมายผ่านสถานทูตนอร์เวย์ กดดัน ‘เทเลนอร์’ ล้มดีลควบกิจการ ‘ทรู-ดีแทค’

“สมบูรณ์ บุญญาภิรมณ์” ยื่นจดหมาย ผ่านสถานทูตนอร์เวย์ ส่งต่อถึงรัฐบาล กดดัน “เทเลนอร์” ยุติข้อตกลงควบรวมกิจการ “ทรู-ดีแทค” ชี้ ละเมิดต่อกฎหมาย และรัฐธรรมนูญไทย

วันนี้ (6 ต.ค.) นายสมบูรณ์ บุญญาภิรมณ์ ทนายความ ได้เข้ายื่นหนังสือ ต่อสถานเอกอัครราชทูตนอร์เวย์ประจำประเทศไทย แสดงความกังวลต่อการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ทรู และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค เพื่อส่งต่อความกังวล และข้อเรียกร้องที่ระบุไว้ในหนังสือ ไปยังบริษัท เทเลนอร์ บริษัทแม่ของดีแทค ให้ยุติข้อเสนอการควบรวมกิจการระหว่าง 2 บริษัทดังกล่าว

ทรู-ดีแทค

ทั้งยังเรียกร้องถึงรัฐบาลนอร์เวย์ให้พิจารณาว่า ข้อเสนอควบรวมกิจการของทั้งสองบริษัทนั้น เป็นไปตามหลักการชี้แนะของสหประชาชาติ ว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนหรือไม่

ในหนังสือฉบับนี้ นายสมบูรณ์ ระบุว่า การควบรวมกิจการของทั้ง 2 บริษัท ขัดต่อกฎหมาย มีทั้งการปฏิบัติข้ามขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนด การบิดเบือนเอกสารที่เป็นสาระสำคัญที่ใช้ในการพิจารณา การก้าวก่ายและแทรกแซงการพิจารณาตัดสินใจขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ (กสทช.) และ การดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาทิ

ข้อเสนอในการควบรวมกิจการของทั้งสองบริษัทฯ ขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า การประกอบกิจการโทรคมนาคม นอกจากต้องอยู่ในบังคับของ กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าแล้ว ให้คณะกรรมการกําหนดมาตรการเฉพาะตามลักษณะการ ประกอบกิจการโทรคมนาคม มิให้ผู้รับใบอนุญาตกระทําการอย่างใดอันเป็นการผูกขาด หรือลด หรือ จํากัดการแข่งขันในการให้บริการกิจการโทรคมนาคมในเรื่องดังต่อไปนี้

  1. การอุดหนุนการบริการ
  2. การถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน
  3. การใช้อํานาจทางการตลาดที่ไม่เป็นธรรม
  4. พฤติกรรมกีดกันการแข่งขัน
  5. การคุ้มครองผู้ประกอบการรายย่อย

ทรู-ดีแทค

การควบรวมกิจการของ ทรู และดีแทค จะทำให้เหลือผู้ให้บริการกิจการโทรคมนาคมน้อยลง และจะทำให้เหลือผู้ให้บริการหลักเพียงสองรายเท่านั้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อผู้บริโภค ทั้งในแง่การพัฒนาคุณภาพบริการ การกำหนดราคา และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา และแข่งขันในด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นประเด็นที่ประเทศไทยและนานาประเทศ ให้ความสำคัญในโลกยุคใหม่

ปัจจุบัน ดีแทคมีส่วนแบ่งการตลาดสำหรับสัญญาณมือถืออยู่ที่ 19.6 ล้านเลขหมาย (20%) ทรูอยู่ที่ 32.2 ล้านเลขหมาย (34%) และเอไอเอส 44.1 ล้านเลขหมาย (46%) จะเห็นได้ว่าหากการควบรวมเกิดขึ้น จะทำให้มีผู้ให้บริการรายใหญ่เหลือเพียงสองราย เพราะการควบรวมกิจการครั้งนี้ จะทำให้ทั้ง 2 บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดเกินกึ่งหนึ่ง และสามารถชี้นำตลาดได้ทั้งในเรื่องราคา และคุณภาพของการให้บริการ

การที่ กสทช.ด่วนสรุปมาตรการเฉพาะหลังการควบรวม เพื่อควบคุมผู้ขอควบรวมอย่างหย่อนยาน หละหลวมทั้ง ๆ ที่ตามรายงานของอนุกรรมการชุดต่าง ๆ เห็นว่าไม่ควรจะอนุมัติให้ควบรวม

มีความกังวลเพิ่มเติมในเรื่องเสรีภาพในการสื่อสารของประชาชน ที่ต้องไม่ถูกแทรกแซงโดยบริษัทเอกชนหรือรัฐ หากผู้ให้บริการกิจการโทรคมนาคมมีจำนวนน้อยลง ก็จะทำให้การแทรกแซง คุกคาม จำกัด และปิดกั้นการเข้าถึง ข้อมูลข่าวสาร เกิดขึ้นได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการใช้เทคโนโลยีสปายแวร์ ในการเข้าถึงข้อมูล ในการสื่อสาร ของนักกิจกรรมและผู้ที่เห็นต่างจากรัฐ โดยไม่ได้รับอนุญาต

ทรู-ดีแทค

ในส่วนของบริษัทเอกชนเองก็มีความรับผิดชอบในการปกป้อง สิทธิมนุษยชน ตามหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights: UNGPs) ซึ่งในเสาหลักที่สองได้เน้นย้ำ ว่าบุคคลและองค์กรที่ประกอบธุรกิจไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประเภทใดหรือขนาดใดก็ตาม ย่อมมีความรับผิดชอบที่จะเคารพสิทธิมนุษยชน (Respect)

ข้อเรียกร้องทั้งสามข้อนี้ เป็นเรื่องเร่งด่วน เนื่องจากจะมีการลงมติชี้ขาดในที่ประชุมคณะกรรมการ กสทช. ในวันที่ 12 ตุลาคม 2565 ที่จะถึงนี้ จึงอยากให้สถานทูตนอร์เวย์สื่อสารไปยัง บริษัท เทเลนอร์ ให้มีคำสั่งหรือตรวจสอบการดำเนินการของบริษัทลูก ในประเทศไทย ไม่ให้ละเมิดต่อกฎหมาย จรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ ความโปร่งใสและการคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้บริการเป็นสำคัญ

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo