Technology

เปิดผลสำรวจ ‘เอสเอ็มอีไทย’ พร้อมรับมือการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลแค่ไหน

ETDA เผยผลสำรวจ การเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลของเอสเอ็มอีไทย พบความพร้อมอยู่ในระดับ Digital Follower พร้อมเผย 6 ความท้าทาย กับดักของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลที่ไม่สำเร็จ

ความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัล หรือ Digital Transformation ขององค์กร หรือ บริษัท วัดด้วยอะไร?

เอสเอ็มอีไทย

เชื่อว่านี่คงเป็นประเด็นที่หลายคนกำลังสงสัย เพราะที่ผ่านมา ทั้งภาครัฐ เอกชน ต่างเร่งส่งเสริม สนับสนุนให้องค์กรทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเอสเอ็มอี (SMEs) ซึ่งถือเป็นกลุ่มหลัก ๆ ที่ส่งผลต่อการสร้างมูลค่าที่เพิ่มขึ้นทางเศรษฐกิจ และยังมีผลกับการขับเคลื่อน GDP ของประเทศ

แน่นอนว่า เครื่องมือที่หลาย ๆ ประเทศต่างนิยมนำมาใช้วัดความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลขององค์กร ก็คือ Digital Maturity Model ซึ่งเป็นอีกเครื่องมือสำคัญ ที่เข้ามาช่วยทำให้เราสามารถทำความเข้าใจถึงสถานะความพร้อมของการเปลี่ยนผ่านทางด้านดิจิทัลขององค์กรในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ องค์กรไหนที่มี Digital Maturity อยู่ในระดับสูง จะมีโอกาสได้เปรียบทางการเเข่งขัน ทั้งด้านการเติบโต และรายได้ มากกว่าองค์กรหรือบริษัทที่มี Digital Maturity ในระดับที่ต่ำกว่า

สำหรับประเทศไทยแล้ว ล่าสุด สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) ได้นำเครื่องมือนี้ มาเป็นกรอบในการวัดสถานะความพร้อมด้านดิจิทัลของ SMEs ไทยทั่วประเทศ ผ่าน การสำรวจสถานะการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME Digital Maturity Survey 2023 เพื่อสะท้อนถึงสถานะและระดับความพร้อมของการเปลี่ยนผ่านทางด้านดิจิทัลของ SMEs ไทยในปัจจุบัน

4. ภาพประกอบบทความ

 SMEs ไทย มีความพร้อมด้านดิจิทัลในระดับ Digital Follower

จากการสำรวจสถานะการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลของ SMEs ในกลุ่มกิจการที่มีการสร้างมูลค่าสูงให้แก่เศรษฐกิจ (High Value Sector) ได้แก่ กลุ่มกิจการที่ขับเคลื่อน Digital GDP เช่น อุตสาหกรรมดิจิทัล ท่องเที่ยว การค้าดิจิทัล การบริการทางการเงิน บริการการศึกษา การบริการสุขภาพ เป็นต้น และกลุ่มกิจการภายใต้อุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve จำนวน 1,725 บริษัท ทั่วประเทศ ผ่านกรอบการประเมินใน 5 มิติ ทั้งในมุมกลยุทธ์, โครงสร้างและระบบ, กระบวนการและการบริหารจัดการ, บุคลากรและวัฒนธรรมองค์กร, และลูกค้า

ผลสำรวจพบว่า SMEs ไทยส่วนใหญ่ 44.81% มีความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลในระดับปานกลาง (Digital Follower) มีความเข้าใจ สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้เหมาะสม แต่ยังขาดการบูรณาการด้านดิจิทัลภายในองค์กรอย่างทั่วถึง

รองลงมา 31.30% มีความพร้อมในระดับสูง (Digital Native) มีความสามารถในการเข้าถึงและใช้เครื่องมือดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเป็นตัวช่วยในการบรรลุเป้าหมายการดำเนินงานขององค์กร ภายใต้การมีส่วนร่วมของทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้อง

ลำดับต่อมา 20.47% เป็นกลุ่มที่มีความพร้อมในระดับต่ำ (Digital Novice) ยังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากดิจิทัลเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจได้อย่างเต็มที่ และมีเพียง 3.42% เท่านั้นที่มีความพร้อมในระดับสูง ที่ถือเป็นกลุ่มผู้นำในการขับเคลื่อนด้านดิจิทัล รู้ทันการเปลี่ยนแปลง และสามารถตอบสนองได้ทันท่วงที มองเห็นลู่ทางใหม่ๆ ในการนำดิจิทัลต่อยอดธุรกิจที่มีอยู่

ขณะที่ SMEs ที่มีรายได้สูง อย่าง Medium Enterprises และภาคการผลิต จะมีความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลมากที่สุด และส่วนงานที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้มากที่สุด 3 อันดับแรกคือ การตลาด รองลงมาคือ การเงินและบัญชี และการขาย หรือ Sales นั่นเอง

3. ภาพประกอบบทความ

6 ความท้าทาย กับดักของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลที่ไม่สำเร็จ

แม้วันนี้ เอสเอ็มอีไทยส่วนใหญ่มีความพร้อมด้านดิจิทัล สามารถเข้าใจและปรับตัวได้เหมาะสม แต่ในมุมของการใช้งานก็ยังมีประสิทธิภาพไม่มากนัก เพราะจากผลสำรวจพบว่า ผู้ประกอบการ SMEs ส่วนใหญ่ยังคงเผชิญกับ กับดักความท้าทาย ที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลเป็นไปได้อย่างไม่เต็มที่ โดยความท้าทายที่ว่า ได้แก่

1. ขาดแคลนทักษะและความสามารถด้านดิจิทัล 62.72% เพราะพนักงานส่วนใหญ่ กว่า 67.86% มีระดับทักษะด้านดิจิทัลอยู่ในขั้นพื้นฐาน ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างง่ายได้ หรือเป็นกาารใช้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น

2. ต้องเจอกับต้นทุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่อยู่ในระดับสูงเกินไป กว่า 52.87% เนื่องจาก SMEs 87.08% ยังใช้ทุนส่วนตัวหรืองบประมาณของบริษัทในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีใหม่ในองค์กร ที่เหลือต้องเป็นการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน และขอสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐ

3. ขาดข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการในการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล 49.68%

4. ขาดแคลนเทคโนโลยีที่จำเป็นในการเปิดใช้งานเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล 42.03%

5. ความซับซ้อนของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล จนไม่สามารถตั้งต้นการดำเนินงานได้ 41.33%

6. ความเห็นที่ไม่สอดคล้องกันภายในองค์กร 11.30%

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความท้าทายอื่นๆ ที่ SMEs เจอ เช่น ภาษีที่มีอัตราสูงและโอกาสในการแข่งขันที่น้อยกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ ตลอดจนประเด็นของความท้าทายที่ต้องใช้เงินทุนที่เพิ่มขึ้น หากต้องจัดหาทั้งในด้านอุปกรณ์ โปรแกรม รวมถึงการฝึกพัฒนาทักษะพนักงาน

SMEs ส่วนใหญ่ที่ใช้ดิจิทัล มองว่า เลือกใช้ดิจิทัลเพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มความถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็ว ขยายฐานลูกค้า และเพิ่มความสะดวกในการทำงานให้ดีขึ้น แต่อีกมุมหนึ่งของ SME ที่ใช้งานดิจิทัลต่างก็มีความกังวลอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในเรื่องของความเสี่ยง เช่น ด้านข้อมูลขององค์กร ที่อาจเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมข้อมูล หรือนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด เป็นต้น

2. ภาพประกอบบทความ

ร้องของบประมาณ-สิทธิประโยชน์จากการใช้ดิจิทัล  

เมื่อถามว่า SMEs อยากให้ภาครัฐ เข้ามาสนับสนุนในประเด็นไหนมากที่สุด เพื่อกระตุ้นส่งเสริมให้พวกเขาสามารถเปลี่ยนผ่านทางด้านดิจิทัลเกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น

จากผลสำรวจนี้ พบว่า ประเด็นที่ SMEs อยากให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาสนับสนุนมากที่สุด คือ ด้านการเงินและงบประมาณ ต้องการมากถึง 63.30% รองลงมาคือ การให้สิทธิประโยชน์หลังการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลในองค์กร 48.41% การพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของบุคลากรในองค์กร 44.17%

การจัดหาช่องทางในการเข้าถึงและเกิดการจับคู่ทางเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับองค์กร 35.36% การรับรองมาตรฐานทางเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการนำมาใช้ในองค์กร 25.10% การสร้างความเข้าใจในประเด็นด้านกฎหมาย และมาตรฐานด้านดิจิทัล 23.07% การให้คำปรึกษา แนะนำในกระบวนการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลได้อย่างตรงจุด 19.71% และตัวอย่างการใช้งานที่เหมาะสมจาก Use case ที่ประสบความสำเร็จ เพื่อให้เห็นแนวทางในการนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ 19.30%

เทคโนโลยีด้านไหนที่ SMEs ไทยต้องการใช้

เมื่อเจาะลึกถึงความต้องการของ SMEs ว่า ประเภทเครื่องมือ เทคโนโลยี หรือบริการดิจิทัลด้านใดที่พวกเขาต้องการอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาสนับสนุน และอยากนำมาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยยกระดับการดำเนินงานของธุรกิจให้ดียิ่งขึ้นนั้น

จากการสำรวจพบว่า เทคโนโลยีด้านบริการธุรกิจ (Business Services) คือสิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดกว่า 33.86% โดยเฉพาะระบบการจัดการประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) เช่น การวิเคราะห์ความต้องการลูกค้า การจัดการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า

รองลงมาคือ เทคโนโลยีด้านการเงิน 25.04% ด้าน e-Commerce 11.65% ด้าน Digital Content หรือ ไลฟ์สไตล์ 10.84% และด้านอุตสาหกรรม 10.67% และที่สำคัญเทคโนโลยีเหล่านี้ จะต้องมีราคาที่ไม่สูงมากนัก เพื่อให้พวกเขานำมาใช้งานได้จริงด้วย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo