Technology

ไม่เปลี่ยนแปลง!! นวัตกรรมไทยปี 66 รั้งอันดับ 43 ดัชนีนวัตกรรมโลก

เอ็นไอเอ เผยผลการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลกปี 2566 ไทยยังครองอันดับที่ 43 คงเดิมจากปีที่แล้ว ขณะที่กลุ่มปัจจัยด้านระบบตลาดโดดเด่น คว้าอันดับที่ 22 จาก 132 ประเทศ

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า อว. เห็นความสำคัญของการนำงานวิจัยและนวัตกรรมมาเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่ประเทศรายได้สูง และสร้างความพร้อมสำหรับอนาคตเพื่อแข่งขันในเวทีโลก

ดัชนีนวัตกรรมโลก

อย่างไรก็ตาม การที่นวัตกรรมของไทยจะสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้นั้น ต้องอาศัยความเข้มแข็งของภาคเอกชน โดยมีภาครัฐเป็นกองหนุนสำคัญที่จะสร้างการรับรู้ ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น ชาตินวัตกรรม และก้าวสู่อันดับที่ 30 ของประเทศที่มีความสามารถด้านนวัตกรรมของโลกภายในปี 2573

เป้าหมายดังกล่าว ถือเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องเร่งดำเนินการ โดยมุ่งเน้น 6 แนวทาง ได้แก่

  • รัฐจะต้องเป็น Sandbox และ Accelerator ของนวัตกรรม เพื่อให้เกิดพื้นที่นำร่องและสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยนวัตกรรม
  • เร่งการเติบโตในการลงทุนทางนวัตกรรมเชื่อมกับการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย โดยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคเอกชน เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ การลงทุน และการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวิจัย พัฒนา และสร้างผลผลิตทางนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก
  • กระตุ้นกิจกรรมด้านตลาดการเงินนวัตกรรมและตลาดทุนทางเทคโนโลยี ด้วยการสร้างความเข้มแข็งให้กับตลาดทุน สร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนแก่ธุรกิจที่ดำเนินการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม
  • เพิ่มจำนวนวิสาหกิจฐานนวัตกรรมเพื่อการปฏิรูปโครงสร้างทางธุรกิจ เพื่อสร้างการแข่งขันด้วยเทคโนโลยีและองค์ความรู้ สร้างธุรกิจใหม่ที่ตอบสนองความเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่มูลค่า และสร้างตลาดแรงงานทักษะสูง
  • กระตุ้นการจดทะเบียนสิทธิบัตรและใช้ประโยชน์สิทธิบัตรเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ ผ่านการพัฒนานโยบายเชิงรุกด้านการลงทุน การคุ้มครองและการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญา
  • เพิ่มจำนวนนวัตกรรมฐานความคิดสร้างสรรค์และวัฒนธรรม ถือเป็นจุดเด่นของประเทศไทยที่จะนำซอฟท์พาวเวอร์มาพัฒนาสู่นวัตกรรมในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว อาหาร แฟชั่นและบันเทิง

เป้าหมาย

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า สำหรับผลการจัดอันดับความสามารถทางด้านนวัตกรรมในปีนี้ ประเทศไทยยังอยู่อันดับที่ 43 จากประเทศและเขตเศรษฐกิจทั่วโลก 132 ประเทศ เท่ากับปีที่ผ่านมา

สำหรับปีนี้ปัจจัยย่อยผลผลิตทางนวัตกรรมอยู่อันดับที่ 43 (ดีขึ้น 1 อันดับ) ขณะที่ปัจจัยเข้าทางนวัตกรรมดีขึ้น 4 อันดับ จากอันดับที่ 48 ในปีที่ผ่านมา อยู่ในอันดับที่ 44 แต่ยังคงอยู่ท็อป 5 ในกลุ่มประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางระดับบน จาก 36 ประเทศ

10 ประเทศดีที่สุด

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีอันดับที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยในหลายปัจจัย เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออกและโอเชียเนีย ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 9 จาก 16 ประเทศ และยังคงอยู่อันดับที่ 3 ในกลุ่มประเทศอาเซียน

ขณะที่ปัจจัยชี้วัดความสามารถด้านนวัตกรรมของประเทศไทยที่เป็นจุดแข็งมากที่สุด เป็นกลุ่มปัจจัยด้านระบบตลาดอยู่อันดับที่ 22 ปรับตัวขึ้นจากปีที่แล้ว 5 อันดับ

โดดเด่น

นอกจากนี้ กลุ่มปัจจัยที่มีอันดับดีขึ้น ได้แก่ กลุ่มปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานดีขึ้น 5 อันดับ มาอยู่อันดับที่ 49 และกลุ่มปัจจัยด้านผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์ ที่ภาพรวมปรับตัวดีขึ้น 5 อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ 44 โดยมีจุดแข็งด้านการส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ (อันดับที่ 1)

ส่วนกลุ่มปัจจัยที่ปรับอันดับลดลงได้แก่ กลุ่มปัจจัยด้านสถาบัน กลุ่มปัจจัยด้านทุนมนุษย์และการวิจัย โดยปัจจัยด้านสถาบันอันดับลดลงมากที่สุดถึง 7 อันดับ

อันดับไทย

อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังคงรักษาประสิทธิภาพทางนวัตกรรมที่สะท้อนความคาดหวังตามระดับรายได้ (GDP per capita) คงอยู่ในระดับบวก มีความก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรมที่สูงกว่าความคาดหมาย

ดร.กริชผกา กล่าวเพิ่มเติมว่า ดัชนีนวัตกรรมโลก เป็นการจัดอันดับความสามารถทางนวัตกรรมของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ผ่านการประเมินตัวชี้วัดทั้งสิ้น 80 ตัวชี้วัด โดยปีนี้อยู่ภายใต้ธีมผู้นำนวัตกรรมท่ามกลางความไม่แน่นอน

จะเห็นได้ว่าผลการจัดอันดับ GII สะท้อนให้เห็นว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีพัฒนาการความสามารถทางนวัตกรรมที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการขับเคลื่อนของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ การศึกษา เอกชน และประชาชนที่มีความพยายามที่จะพัฒนาและยกระดับความสามารถเพื่อก้าวเป็นประเทศชั้นนำที่ขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรม

คลัสตอร์

นอกจากนี้ WIPO ยังได้เปิดผลการจัดอันดับเมืองคลัสเตอร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (GII Science and Technology Clusters) 100 อันดับแรกของโลก โดยคลัสเตอร์ชั้นนำทั้ง 5 แห่งแรกอยู่ในทวีปเอเชียตะวันออก ดังนี้

อันดับ 1 โตเกียว-โยโกฮาม่าของประเทศญี่ปุ่น

อันดับ 2 คลัสเตอร์เซินเจิ้น-ฮ่องกง-กวางโจว

อันดับ 3 โซล สาธารณรัฐเกาหลี

อันดับ 4 ปักกิ่ง

อันดับ 5 เซี่ยงไฮ้-ซูโจวของประเทศจีน

ส่วนประเทศไทย มีกรุงเทพเป็นพื้นที่กลุ่มคลัสเตอร์ที่มีการขยายตัวที่สุด แต่ยังไม่ติดอันดับท็อป 100 ซึ่งกลุ่มคลัสเตอร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญในการประเมินดัชนี GII ที่สะท้อนประสิทธิภาพของระบบนิเวศนวัตกรรมของประเทศต่าง ๆ

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo