COLUMNISTS

‘ประเทศไทย’ ต้องเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย ตอน 1

Avatar photo
กรรมการผู้จัดการ Fabulous Pillar Co., Ltd. (Myanmar)

หลังจากได้เฝ้ามองพลวัตการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของไทยในบริบทการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจในภูมิภาคและในโลก ทั้งในฐานะนักวิชาการและนักธุรกิจเอกชน ผมคิดว่าพอจะจับจุดรากแก้วของปัญหาของเศรษฐกิจไทยได้อย่างเลา ๆ

หนึ่งในปัญหาใหญ่ของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน คือ เราได้สูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าตลอดระยะเวลาสักประมาณ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา เราไม่มีการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้เพิ่มสูงขึ้น เพียงแต่ว่าคู่แข่งทำได้ดีกว่าเราอย่างเห็นได้ชัด

เศรษฐกิจไทย

โดยคู่แข่งรายเดิม ๆ ได้ทิ้งไทยออกไปอย่างไม่เห็นฝุ่น เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ จีน อินเดีย มาเลเซีย เป็นต้น ในขณะที่คู่แข่งรายใหม่เริ่มจี้ติดเข้ามาอย่างหายใจรดต้นคอกันเลยทีเดียว อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นต้น

เมื่อวิเคราะห์เจาะลึกเข้าไปถึงแก่นของปัญหาจะพบว่า อยู่ที่ภาคอุตสาหกรรมสำคัญของไทยยังอยู๋ในลักษณะ OEM หรือ Original Equipment Manufacturer นั่นคือ การเป็นเพียงประเทศผู้รับจ้างในการผลิตมาอย่างยาวนาน

ที่ผ่านมาเราอาศัยความได้เปรียบจากการเป็นประเทศที่มีค่าแรงที่ต่ำกว่าคู่แข่ง การมีจำนวนแรงงานในวัยหนุ่มสาวเป็นจำนวนมาก การพร้อมรับอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษโดยไม่มีแรงกดดันจากกฎระเบียบภาครัฐที่เข้มงวด การมีแรงจูงใจทางภาษีในแพคเกจส่งเสริมการลงทุนที่ดีกว่า การมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีกว่า ฯลฯ

ปัจจัยความได้เปรียบต่าง ๆ เหล่านี้เคยทำให้ไทยเป็นแม่เหล็กดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาตั้งฐานการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปขายในตลาดโลก ก่อให้เกิดรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล

ส่งออก

แต่ทว่าความได้เปรียบต่าง ๆ เหล่านี้ในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นความยั่งยืนอย่างแท้จริง เพราะคู่แข่งเขาก็มีเหมือนกัน และในบางรายเริ่มทำได้ดีกว่าไทยในเกือบทุกด้านแล้วเช่นกัน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ไทยไม่สามารถขยับตัวเองไปสู่ประเทศที่มีการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ของภาคอุตสาหกรรมมากกว่าการเป็นผู้รับจ้างผลิต นั่นก็เพราะเรามีทศวรรษที่สูญหายไปนับ 3 ทศวรรษด้วยกัน

3 ทศวรรษที่สูญหายของไทย

เพราะตั้งแต่ปี 2540 ถึงปัจจุบัน ประเทศไทยได้ประสบวิกฤติลูกแล้วลูกเล่าอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากทศวรรษ 2540-2550 ไทยประสบวิกฤติเศรษฐกิจจากวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง

ต่อมาเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว เราก็ดันพร้อมใจกันพาตัวเองเข้าสู่วิกฤติความขัดแย้งด้านการเมือง เป็นสงครามสีเสื้อตั้งแต่ปี 2550-2560 ถัดมาในช่วงปี 2560 กระทั่งถึงปัจจุบัน เรายังเมาหมัดต่อกับวิกฤติการณ์ความขัดแย้งทางสังคมที่ผู้คนเริ่ม

ตั้งคำถามถึงความเหลื่อมล้ำ ความเท่าเทียมกัน สังคมสวัสดิการ เป็นต้น ก่อให้เกิดการแบ่งฝีกแบ่งฝ่ายของคนในประเทศอย่างยากจะประสานเป็นเนื้อเดียวกัน

ทำให้ตลอดระยะเวลา 3 ทศวรรษที่สูญหายดังกล่าว ประเทศไทยได้สูญเสียโอกาสในการพัฒนาถีบตัวเองจากการเป็นเพียงผู้รับจ้างผลิต (OEM) ไปสู่การเป็นประเทศผู้ออกแบบและพัฒนา (ODM) ที่มาจากคำว่า Original Design Manufacturer

shutterstock 2339008515

ในขณะที่อีกด้านของการพัฒนาคือ การก้าวไปเป็นประเทศผู้เป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าและบริการ สามารถส่งออกแบรนด์สินค้าไปจำหน่ายทั่วโลก (OBM) หรือ Original Brand Manufacture ซึ่งทั้งสองรูปแบบการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมดังกล่าวจะก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางด้านเศรษฐกิจสูงกว่าการเป็นเพียงผู้รับจ้างผลิตอย่างมหาศาล

การวนลูปอยู่ที่เดิมแบบนี้มาตลอด 3 ทศวรรษ ทำให้เราก้าวอยู่กับที่ ในขณะที่ไต้หวัน เกาหลีใต้ จีน อินเดีย พัฒนาต่อไปเป็นประเทศ ODM และ OBM ในสัดส่วนและความเข้มข้นที่แตกต่างกันไป แต่ก็ล้วนประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ

แม้แต่เวียดนามที่ในปัจจุบันเริ่มปรับโหมดเป็นผู้สร้างแบรนด์สินค้าผลิตป้อนตลาดโลก รวมไปถึงอินโดนีเซียที่ตั้งหลักสู้กับไทยด้วยปัจจัยความได้เปรียบในการรับจ้างผลิตแบบเดียวกับไทย แต่ทำได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่าแทบจะทุกด้าน

ถึงเวลาแล้วครับที่ประเทศไทยจะต้องกลับมาตั้งหลักคิดให้ถูกต้องก่อน เพราะ Think Right เท่านั้น ถึงจะ Do Right ครับ

บทความโดย ธนกร สังขรัตน์ กรรมการผู้จัดการ Fabulous Pillar Co., Ltd. (Myanmar)

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่