Properties

สิงห์ เอสเตท ทุ่ม 2.4 พันล้าน ซื้อ ‘เวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์’ จากกลุ่มบุญรอดฯ

สิงห์ เอสเตท ซื้อนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ เนื้อที่ 1,790 ไร่  ซื้อหุ้น บจก. ปาร์ค อินดัสตรี 100% ในราคาพาร์จาก บจก. บุญรอดบริวเวอรี่  เตรียมทุ่มงบ 1,726 ล้านบาท ลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง

นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามในข้อตกลงเข้าซื้อหุ้น 100% ของบริษัท ปาร์ค อินดัสตรี จำกัด จากบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด โดย ปาร์ค อินดัสตรี เป็นเจ้าของนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ ซึ่งมีเนื้อที่ 1,790 ไร่ ตั้งอยู่ใน จังหวัดอ่างทอง คาดว่าการโอนหุ้นระหว่างกัน น่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/64

ทุ่ม 2.42 พันล้าน1

โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2,421 ล้านบาท แบ่งเป็น 510 ล้านบาท จ่ายเพื่อซื้อหุ้นทั้งหมดของ ปาร์ค อินดัสตรี ในราคาพาร์ ส่วนอีก 1,726 ล้านบาท เป็นเงินที่จะใช้ลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรม และอีกส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ

“การซื้อนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับโรงไฟฟ้า 3 แห่ง ที่เราเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วนที่มากพอสมควรนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่ง ในการเดินหน้าสู่เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของเรา ที่จะสร้างจุดแข็งที่ทรงพลังให้กับธุรกิจ จากการส่งเสริมซึ่งกันและกัน ของกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ที่หลากหลายของสิงห์ เอสเตท เพื่อทำให้เรามีความแข็งแกร่งในการแข่งขัน และทำให้ธุรกิจของเรามีความเป็น Resilient Business”

ทางด้านนางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร S กล่าวว่า การผสานธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม เข้ากับธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า จะสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจของบริษัท ทั้งในด้านการเงิน และการดำเนินงาน

เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วนิคมอุตสาหกรรม คือหนึ่งในผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุด อีกทั้งการดำเนินกิจการในนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ ทำให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งของบริษัท

การที่นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ เน้นสินค้าอาหารโดยเฉพาะ ทำให้มีความต้องการใช้ไอน้ำ จากผู้ประกอบการแปรรูปอาหารต่าง ๆ ในนิคมฯ ซึ่งโรงไฟฟ้าของบริษัท ก็เป็นผู้ผลิตไอน้ำ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารด้วย

นอกจากนี้ กิจการโรงไฟฟ้ายังช่วยให้มีรายได้อย่างต่อเนื่อง และมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ ลดความเสี่ยง ในเรื่องความไม่แน่นอนของกระแสเงินสด จากการขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม

S 81985542
ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์

“มากกว่าความลงตัวในเชิงกลยุทธ์แล้ว เรายังมองเห็นอนาคตที่สดใสของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ที่ตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศไทยด้วย โดยอัตราการเข้าใช้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของทั้งประเทศนั้น เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 80% ณ ช่วงสิ้นปีของปีที่แล้ว ในขณะที่ภาคกลางของประเทศไทย มีอัตราการเข้าใช้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในระดับสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 89%”

นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ ยังมีความสำคัญ ตามนโยบายการขับเคลื่อนประเทศ ที่มุ่งยกระดับประเทศไทยให้เป็นครัวของโลก และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารชั้นนำของโลก โดยทำเลที่ตั้งของนิคมฯ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ ที่มีความเหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางห่วงโซ่อุปทานอาหาร และวัตถุดิบของประเทศ ทั้งแหล่งสำคัญในการผลิตข้าว ผลิตภัณฑ์จากนม และสัตว์ปีก ทั้งยังมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากอยู่ใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยา

ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ซึ่งกำหนดเป็นนโยบายระยะยาว โดยข้อมูลของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน พบว่า อุตสาหกรรมการเกษตร และอาหาร เป็นหนึ่งในภาคอุตสาหกรรม ที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน ในอัตราที่เติบโตเร็วที่สุด

ภาคกลางของไทย มีสัดส่วนของการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน ประมาณครึ่งหนึ่งของการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งหมดในปี 2563 และมีการคาดการณ์ว่า ความต้องการที่ดิน ในนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้น เมื่อรัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมการเดินทาง หลังวิกฤติโควิด-19 คลี่คลาย

S 81985540

พร้อมกันนี้ ผู้ถือหุ้นยังได้อนุมัติแผนการซื้อหุ้น 30% ในโรงไฟฟ้า 3 แห่งที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ โดยคิดเป็นมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 1,392 ล้านบาท

โรงไฟฟ้าแห่งแรก เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ดำเนินการผลิตอยู่แล้วขนาด 123 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าแห่งที่ 2 และ 3 เป็นโรงไฟฟ้าใหม่ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการภายในปี 2566 ด้วยกำลังการผลิตแห่งละ 140 เมกะวัตต์

บริษัท ยังมีเป้าหมายผลักดันรายได้ต่อปี ให้เพิ่มขึ้น 3 สามเท่า มาอยู่ที่ราว 20,000 ล้านบาทต่อปี และมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 80,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo