กระทรวงพาณิชย์ เปิดตัวเลขส่งออก ก.ค. ขยายตัว 4.3% บวกติดต่อกัน 17 เดือน รวม 7 เดือน มีมูลค่า 172,814.1 ล้านดอลลาร์ เพิ่ม 11.5% “จุรินทร์” สั่งทูตพาณิชย์เพิ่มแผนงาน และกิจกรรมผลักดันยอดส่งออกใหม่ เป็น 530 กิจกรรม หวังเร่งทำเงินเข้าประเทศช่วง 5 เดือนที่เหลือของปีนี้ และหนุนส่งออกทั้งปีเป็นบวกให้ได้มากที่สุด
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกเดือนกรกฎาคม 2565 ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง มีมูลค่า 23,629.3 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 4.3% เป็นการขยายตัวเป็นบวกติดต่อกันเป็นเดือนที่ 17 คิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 829,028.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17%
ส่วนยอดรวม 7 เดือนของปี 2565 (ม.ค.-ก.ค.) มีมูลค่า 172,814.1 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 11.5% คิดเป็นเงินบาท มูลค่า 5,774,277.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.2%
ส่วนการนำเข้า เดือนกรกฎาคม 2565 มีมูลค่า 27,289.8 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 23.9% ขาดดุลการค้า 3,660.5 ล้านดอลลาร์ รวม 7 เดือน นำเข้ามูลค่า 182,730.4 ล้านดอลลาร์ ขาดดุลการค้า 9,916.3 ล้านดอลลาร์
ความต้องการอาหารทั่วโลกหนุนส่งออก ก.ค. โตต่อเนื่อง
ปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุนการส่งออก มาจากความต้องการอาหารจากทั่วโลก ยังเติบโตต่อเนื่อง ทำให้สินค้าเกษตร อาหาร ยังส่งออกได้ดี โดยเฉพาะการส่งออกเนื้อสัตว์ปีก การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 และการผ่อนคลายประเทศให้มีการท่องเที่ยว ทำให้สินค้าบางส่วน เช่น อัญมณีเครื่องประดับ เครื่องสำอาง สบู่ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเครื่องนุ่งห่ม อุปกรณ์การเดินทางขยายตัวได้ดีขึ้น
ค่าระวางเรือมีแนวโน้มลดลง ความหนาแน่น และความล่าช้า ในการขนส่งบริเวณท่าเรือสำคัญของโลกลดลง ทำให้ระบบการขนส่งคล่องตัว ไม่เป็นอุปสรรคในการส่งออก และค่าเงินบาทยังอ่อนค่า ช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหาร
ทั้งนี้ การส่งออกในเดือนกรกฎาคม 2565 สินค้าเกษตร ลดลง 0.3% เพราะปีนี้ผลไม้สด หมดฤดูกาลเร็ว จึงไม่มีของส่งออก จากช่วงก่อนหน้านี้ ประสบความสำเร็จในการส่งออกไปจีน จึงฉุดภาพรวมให้ลดลง
แต่สินค้าเกษตรอื่น ๆ ยังเพิ่มขึ้น เช่น ผลไม้แช่แข็ง และผลไม้แห้ง เพิ่ม 94.3% โดยเฉพาะทุเรียนแช่แข็ง เพิ่ม 126.2% ลำไยแห้ง เพิ่ม 66.3% ไก่สดแช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป เพิ่ม 35.5% ข้าว เพิ่ม 21.5% ยางพารา เพิ่ม 12% และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร เพิ่ม 38.1% เช่น น้ำตาลทราย เพิ่ม 258.8% ไอศกรีม เป็นดาวรุ่งตัวใหม่ เพิ่ม 34.2% บวก 26 เดือนต่อเนื่อง อาหารสัตว์เลี้ยง เพิ่ม 25.4% บวก 35 เดือนต่อเนื่อง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป เพิ่ม 17.3% อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เพิ่ม 16.4%
ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่มเพียง 0.1% เพราะมีปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ที่เกิดกับอุตสาหกรรมทั่วโลก ทำให้มีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าที่ต้องใช้ชิป แต่ก็ยังมีหลายสินค้าที่ส่งออกได้เพิ่ม เช่น เครื่องโทรสาร โทรศัพท์อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เพิ่ม 34.6% เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เพิ่ม 25.5% ผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม เพิ่ม 21.4% อัญมณีและเครื่องประดับ เพิ่ม 19.1% เครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว เพิ่ม 13.6% เครื่องนุ่งห่ม เพิ่ม 10.7%
สำหรับตลาดส่งออกที่ขยายตัวได้ดี 10 อันดับแรก ได้แก่ 1.เกาหลีใต้ เพิ่ม 39.4% 2.ตะวันออกกลาง เพิ่ม 27.4% 3.แคนาดา เพิ่ม 27.3% 4.CLMV เพิ่ม 24.2% 5.อาเซียน (5 ประเทศ) เพิ่ม 21.3% 6.เอเชียใต้ เพิ่ม 21.1% 7.ทวีปออสเตรเลีย เพิ่ม 20% 8.สหราชอาณาจักร เพิ่ม 17.2% 9.สหภาพยุโรป เพิ่ม 8.1% และ 10.สหรัฐ เพิ่ม 4.7%
ทางด้านการค้าชายแดนและผ่านแดน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตัวเลขการส่งออก เดือนกรกฎาคม 2565 การส่งออกชายแดนไปยัง 4 ประเทศ มาเลเซีย เมียนมา ลาว และกัมพูชา มีมูลค่า 51,665 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.80% และรวม 7 เดือน มีมูลค่า 376,074 ล้านบาท เพิ่ม 19.9%
ส่วนการส่งออกผ่านแดนไปจีน เวียดนาม และสิงโปร์ เดือนกรกฎาคม มีมูลค่า 36,123 ล้านบาท ลด 27.30% รวม 7 เดือนมูลค่า 218,541 ล้านบาท ลด 21.16% เพราะสามารถแก้ปัญหาระบบการขนส่งได้ดี โดยแทนที่จะส่งออกทางบก ก็หันไปส่งออกทางเรือ ทางอากาศแทน ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องติดขัดที่ด่าน
นายจุรินทร์กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์ส่งออก ประเมินว่าทั้งปียังเป็นบวก เพราะกระทรวงพาณิชย์จะจับมือกับภาคเอกชน ร่วมมือกันแก้ปัญหา และจะเพิ่มแผนงาน และกิจกรรมต่าง ๆ ให้มากขึ้น เพื่อทำให้ตัวเลขรวมทั้งปี และ 5 เดือนที่เหลืออยู่ ทำเงินเข้าประเทศให้ได้มากที่สุด
โดยได้สั่งให้ทูตพาณิชย์ทั่วโลก เร่งรัดทำแผนส่งออกทั้งเชิงรุก และเชิงลึก มายังกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแล้ว ขณะนี้แผนงานทั้งหมดทำเสร็จสิ้นแล้ว ได้ดำเนินการทางปฏิบัติแล้ว เดิมกำหนดแผนการจัดกิจกรรมเชิงรุกและเชิงลึกทั้งปี 2565 ไว้ 185 กิจกรรม แต่จะเพิ่มอีก 345 กิจกรรม รวมเป็น 530 กิจกรรม เพื่อเร่งทำเงินเข้าประเทศ และทำรายได้ให้ประเทศ
ส่วนตัวเลขขาดดุลการค้า เดือนกรกฎาคม 2565 ที่มีมูลค่า 3,660.5 ล้านดอลลาร์ และ 7 เดือนมูลค่า 9,916.3 ล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าที่มีราคาสูงตามการสูงขึ้นของตลาดโลก เช่น น้ำมัน และทองคำ
หากราคาพลังงานโลกยังสูงอีก ก็ยังมีโอกาสที่จะขาดดุลอีก แต่ในนี้ ก็มีการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกในอนาคต
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- รับรองข้าวใหม่ 4 สายพันธุ์ ตั้งเป้า 4 ปี ไทยอันดับ 1 ส่งออกข้าวคุณภาพ
- ครึ่งปีแรก ไทยยืน 1 แชมป์ส่งออก ‘ยางพารา’
- ‘สินค้าเกษตร’ 5 เดือนแรก ไทยส่งออก 7 แสนล้าน พร้อมผลักดัน ‘ครัวไทยสู่ครัวโลก’