นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบแนวทางจัดเก็บภาษีจากการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างผู้ลงทุนในตราสารหนี้โดยตรงและผู้ฝากเงินกับธนาคารกับผู้ลงทุนผ่านกองทุนตราสารหนี้ ยอมรับว่ายังมีความแตกต่างกับของผู้ออมเงินระยะยาวทั้ง 2 กลุ่ม เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลส่งเสริมการลงทุนผ่านกองทุนรวมเป็นเวลาหลายปีระยะหนึ่งแล้ว โดยผู้ลงทุนผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้ บริหารกองทุนโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม โดยจัดเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับดอกเบี้ย เงินปันผล 10% สำหรับส่วนต่างกำไรได้รับการยกเว้น ขณะที่ผู้ลงทุนในตราสารหนี้โดยตรงหรือผู้ฝากเงิน เมื่อได้รับดอกเบี้ยหรือปันผล หรือกำไรจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% จึงต้องการให้เกิดความเท่าเทียมกับกับนักลงทุนทั้ง 2 ฝ่าย ครม.วันนี้ จึงให้เก็บภาษีสำหรับผู้ลงทุนผ่านกองทุนเหมือนกับผู้ลงทุนผ่านตราสารหนี้โดยตรง
ด้านนางแพตริเซีย มงคลวนิช โฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า เมื่อจัดเก็บภาษีจากการลงทุนในหน่วยลงทุนตราสารหนี้ คาดว่าภาครัฐมีรายได้เพิ่มเข้ามา 1,500-2,600 ล้านบาท จากปัจจุบันตราสารหนี้ทั้งระบบมูลค่า 5 แสนล้านบาท และการจัดเก็บดังกล่าวไม่มีผลย้อนหลังในการลงทุนหน่วยลงทุนตราสารหนี้ สำหรับกองทุนรวมผสมจากตราสารหนี้และทุนจะไม่ได้ผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว
