“สภาพัฒน์” เปิดไส้ เงินกู้ สู้โควิด 1 ล้านล้าน ล่าสุดเหลือติดกระเป๋า 2 แสนล้าน เตรียมดึงงบเบิกจ่ายล่าช้ามาจัดสรรใหม่
วันนี้ (15 ก.พ.) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการใช้เงินตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาทว่า ล่าสุดวงเงินตาม พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้าน บาท เหลืออีกแค่ 2 แสนล้านบาท ในส่วนวงเงินเพื่อใช้ในโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
สำหรับภาพรวมการเบิกจ่ายคืบหน้าแล้ว 55% โดยเงินกู้ในส่วนของการเยียวยาใช้ครบแล้ว 5.5 แสนล้านบาท ส่วนวงเงินเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาทนั้น เบิกจ่ายได้ประมาณ 30% ส่วนใหญ่นำไปใช้ในโครงการคนละครึ่ง แต่ในส่วนโครงการลงทุนเบิกจ่ายได้เพียง 10% ซึ่งถือว่าน้อยมาก
ทั้งนี้ คณะกรรมการกลั่นกรองใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่มี สภาพัฒน์ เป็นประธาน จะติดตามการใช้จ่ายเงินของทุกหน่วยงานภายในเดือนมีนาคมนี้ หากพบว่ามีหน่วยงานใดเบิกจ่ายไม่เป็นไปตามแผนที่เสนอ ก็จะต้องดึงวงเงินในส่วนที่เบิกจ่ายไม่ทันกลับมาส่วนกลาง เพื่อใช้กับมาตรการเยียวยาอื่นที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อไป โดยโครงการลงทุนตามแผนฟื้นฟูต้องอนุมัติภายในเดือนกันยายนและเบิกจ่ายได้ถึงสิ้นปี 2564
นายดนุชา กล่าวต่อว่า โครงการที่มีปัญหาในการเบิกจ่ายล่าช้า เช่น โครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ อนุมัติ 9,000 ล้านบาท ก็ทำได้ 4,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือก็ดึงกลับมา, โครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ วงเงิน 1.9 หมื่นล้านบาท เป้าหมาย 2.6 แสนราย ก็จ้างได้แค่ 1 หมื่นคน ก็ต้องตัดกลับมาดูใหม่ หรือกรณีเบิกจ่ายตาม พ.ร.บ.ถ่ายโอนงบประมาณ ส่งผลให้มีกว่า 200 โครงการทำไม่ทัน เสนอแผนปรับใช้เงินกู้ ซึ่งเรื่องนี้ คณะกรรมการกลั่นกรองเร่งทยอยแก้ไข และเบิกจ่ายได้ไปเกือบหมดแล้ว
สำหรับงบประมาณที่ถูกดึงกลับมา คณะกรรมการฯ จะนำไปใช้ในโครงการที่เหมาะสม เช่น กรณีข้อเสนอภาคเอกชน และผู้ประกอบการท่องเที่ยว ที่ต้องการให้ภาครัฐร่วมจ่ายค่าจ้าง ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา ว่าจะดำเนินการอย่างไร ต้องทำให้รอบคอบ ดูกลไกให้รอบคอบ จะได้ไม่เกิดเรื่องไม่ดีไม่งาม มีการทุจริต เช่น กรณีคนละครึ่ง ที่แม้ว่าทุกอย่างจะทำภายในระบบแอปลิเคชัน แต่ก็ยังสามารถโกงกันได้
“ขณะนี้วงเงินตาม พ.ร.ก.กู้ 1 ล้านล้านบาท เหลืออีกแค่ 2 แสนล้านบาท ในส่วนวงเงินเพื่อใช้ในโครงการฟื้นฟู ซึ่งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์จะพิจารณาเห็นชอบ มาตรการ ม.33 เรารักกัน จ่ายเงินเยียวยาให้ผู้ประกันตน โดยเสนอขอใช้งบ 3.7 หมื่นล้านบาท ในส่วนนี้จะเป็นการโยกงบจากแผนฟื้นฟู มาใช้ในการเยียวยา 3.5 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้งบจากแผนเยียวยาที่ยังเหลืออยู่” นายดนุชา เลขาธิการ สภาพัฒน์ กล่าว
“สภาพัฒน์” แถลง GDP ติดลบ 6.1%
ในวันเดียวกันนี้ นายดนุชา เลขาธิการสภาพัฒน์ แถลงข่าวตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของปี 2563 และแนวโน้มปี 2564 ว่า ในไตรมาสที่ 4 ปี 2563 GDP ของประเทศไทยขยายตัว 1.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่หดตัวลง 4.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ตัวเลข GDP ตลอดปี 2563 หดตัว 6.1% เนื่องจากเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทำให้ภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศหดตัวอย่างมาก โดยนับเป็นตัวเลข GDP ที่ต่ำที่สุดในรอบ 22 ปี นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้ง
สำหรับแนวโน้มปี 2564 สภาพัฒน์ ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเหลือ 2.5-3.5% มีค่ากลางที่ 3% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.5-4.5% เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจในปีนี้ นอกจากนั้น ยังมีความเสี่ยงจากประสิทธิภาพการกระจายวัคซีน ความล่าช้าจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว และภัยแล้ง
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- แถวยาวครึ่งกิโล !! คนเมืองคอน แห่ลงทะเบียน ‘เราชนะ’
- ‘คลัง’ จัดให้!! ไฟเขียว 2 มาตรการใหญ่ ยืดจ่ายหนี้-อุ้ม SMEs
- โฆษกรัฐบาลเปิด 5 เงื่อนไขรับเยียวยา ‘ม.33 เรารักกัน’ เริ่มลงทะเบียน 21 ก.พ.