ดัชนีค้าปลีกเดือนสิงหาคม ไม่กระเตื้อง ผู้ประกอบการกังวล เงินเฟ้อ ขึ้นค่าแรง ผลักดันต้นทุนเพิ่ม ราคาสินค้าพุ่ง
สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (Retail Sentiment Index) ประจำเดือนสิงหาคม 2565 โดยทำการสำรวจระหว่างวันที่ 17-26 สิงหาคม 2565
ทั้งนี้ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการฯ เดือนสิงหาคมทรงตัวเท่ากับดัชนีเดือนกรกฎาคม แม้ว่าจะมีสัญญาณบวก จากการที่ผู้บริโภคออกมาใช้ชีวิตตามปกติมากขึ้น หลังผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาด และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังคงมีความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อ แนวโน้มดอกเบี้ยที่จะดีดตัวเพิ่มขึ้น และค่าแรงขั้นต่ำที่ประกาศปรับเพิ่มขึ้น 5-8% ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการฯ ในอีก 3 เดือนข้างหน้าดีขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากการฟื้นตัวของธุรกิจที่ยังคงต้องใช้เวลา และผู้ประกอบการยังมีความกังวลอย่างต่อเนื่องต่อต้นทุนและราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มู้ดในการจับจ่ายไม่คึกคักเท่าที่ควร
นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า แม้ว่าผู้คนจะกลับมาใช้ชีวิตเหมือนปกติ แต่จากผลการสำรวจรอบนี้ พบว่า ยอดใช้จ่ายต่อใบเสร็จ (Spending per Bill) ลดลง
ส่วนความถี่ในการจับจ่าย (Frequency of Shopping) เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย รวมทั้งยอดขายสาขาเดิม Same Store Sale Growth (SSSG-MoM) เดือนสิงหาคมปรับลดลง เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย พร้อมทั้งกำลังซื้อที่อ่อนแอทำให้การจับจ่ายโดยรวมไม่เติบโต เกิดจากความกังวลต่อภาวะหนี้ครัวเรือน และรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ผู้บริโภคจึงมุ่งเน้นซื้อสินค้าเฉพาะที่จำเป็น ลดการบริโภคฟุ่มเฟือย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนัก
ดังนั้น ภาครัฐจึงจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายอย่างเร่งด่วนเพื่อการส่งเสริมการบริโภคในประเทศ โดยนำโครงการ ช้อปดีมีคืน กลับมา พร้อมเพิ่มวงเงินเป็น 100,000 บาท เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของกลุ่มผู้ที่มีกำลังซื้อสูง และดำเนินโครงการ คนละครึ่ง รวมทั้ง ไทยเที่ยวไทย ต่อเนื่องยาวถึงสิ้นปี
บทสรุปประเด็นสำคัญ
1. การปรับขึ้นราคาสินค้าใน 3 เดือนข้างหน้า
- 26% จะไม่ปรับราคาสินค้าแล้ว
- 40% จะปรับราคาเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5%
- 17% จะปรับราคาเพิ่มขึ้น 5-10%
- 5% จะปรับราคาเพิ่มขึ้น 11-15%
- 12% จะปรับราคาเพิ่มขึ้นมากกว่า 15%
2. ปัจจัยที่สร้างความกังวลต่อการฟื้นตัวธุรกิจ
- 70% เงินเฟ้อที่สูงผลักดันราคาสินค้าสูงขึ้น
- 9% แนวโน้มดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
- 7% การขาดแคลนแรงงาน
- 7% นักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยกว่าที่คาด
- 7% การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
ความกังวลหลักของผู้ประกอบการ คือ การปรับขึ้นของค่าจ้างแรงงาน และปัญหาการขาดแคลนแรงงานตลอดช่วงปีที่ผ่านมา เพราะทำให้ต้นทุนทางธุรกิจเพิ่มขึ้นราว 1-3% โดยภาคค้าปลีกค้าส่งและบริการมีการจ้างงานทั้งระบบกว่า 13 ล้านคน
บวกกับการที่แรงงานในระบบหายไปจากการจ้างงานถึง 30% เมื่อเทียบกับสถานการณ์ก่อนโควิด ทำให้ผู้ประกอบการต้องจ่ายค่าจ้างแรงงานในอัตราที่สูงเพื่อจูงใจและทดแทนแรงงานในระบบ ส่งผลให้กำไรของผู้ประกอบการลดลงเฉลี่ย 4-5 %
สรุปภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการฯ ยังคงน่ากังวลถึงสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นผลกระทบต่อผู้บริโภค เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่มา ขณะที่ค่าใช้จ่ายก็ทยอยปรับราคาเพิ่มขึ้น ทั้งค่าสาธารณูปโภค ค่าแก๊ส และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีก
อีกด้านหนึ่งเป็นผลกระทบต่อผู้ประกอบการ ที่ต้องแบกรับต้นทุนจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้นและแรงงานที่ขาดแคลน
ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ที่ภาครัฐต้องลำดับความสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจทั้งสองด้านไปพร้อม ๆ กัน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ญนน์ โภคทรัพย์’ นั่งประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย สมัยที่ 2 ประกาศ ‘นิวแชพเตอร์’
- สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ชงไทย ‘เมืองปลอดภาษี’ จี้รัฐช่วย SME อัดฉีดเงินเข้าระบบ
- 4 เทรนด์ลูกค้าหลังโควิด ‘ค้าปลีก’ ปรับตัวด่วน พลิกวิกฤติสร้างโอกาส