สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เสนอ 3 มาตรการ ดันเศรษฐกิจไทยติดปีก ชูภาคค้าปลีก-บริการ ช่วยฟื้นฟูประเทศ
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธาน สมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงฟื้นฟู แต่ยังคงมีความเปราะบาง จากปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไทยมีการส่งออกเป็นพระเอก แต่ตอนนี้จะเป็นการสลับขั้วกัน การส่งออก จะโตได้ไม่มาก เนื่องจากถูกจำกัดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน และราคาน้ำมันโลกที่พุ่งสูงขึ้น
ดังนั้น ต่อจากนี้ ภาคค้าปลีกและบริการ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และถือเป็นเครื่องจักรสำคัญ ที่จะทำให้ภาคการท่องเที่ยวโตขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะในขณะนี้ ประเทศไทยต้องพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเป็นหลัก
ขณะเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยวมี SMEs ของค้าปลีกและบริการอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่ง SMEs ของภาคค้าปลีกและบริการนั้นมีจำนวนถึง 2.4 ล้านราย คิดเป็น 80% ของ SMEs ทั้งประเทศ (SMEs ทั้งประเทศมีจำนวนกว่า 3 ล้านราย) อีกทั้ง ยังมีการจ้างงานในระบบกว่า 13 ล้านราย คิดเป็น 30% ของการจ้างงานทั้งประเทศ
กลุ่ม SMEs จึงถือเป็นกลไกสำคัญ ในการช่วยให้สถานะของตลาดแรงงาน และระบบตลาดแรงงานไทย ให้กลับมาแข็งแรงขึ้นอีกครั้ง
นอกจากนี้ มูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมของกลุ่มนี้ มีมูลค่ารวมกว่า 5.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 34% ของ GDP การบริโภคทั้งประเทศ
หากภาครัฐผลักดันให้ SMEs ในภาคค้าปลีกและบริการแข็งแรง โดยสร้างแต้มต่อและเสริมสภาพคล่อง ให้ SMEs ผ่านการเชื่อมต่อกับธุรกิจขนาดใหญ่ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวกและรวดเร็ว ก็จะเสริมให้ภาคท่องเที่ยวของประเทศแข็งแรงมากยิ่งขึ้น เศรษฐกิจไทยจึงจะกลับมาฟื้นคืน และเดินหน้าได้อย่างเต็มกำลังอีกครั้ง
เสนอ 3 มาตรการร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย
1. ช่วยเหลือ SMEs ที่ได้จดทะเบียนในระบบ THAI SME ภายใต้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มีเป้าหมายในการนำ SMEs ไทยทั้งหมดจำนวนกว่า 3 ล้านรายเข้าสู่ระบบให้มีสิทธิพิเศษ ดังนี้
- จัดหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำด้วย Soft Loan พิเศษ Digital Supply Chain Financing ภายใต้โครงการ ITMX เพื่อให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
- สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจ้างงานของ SMEs ด้วย โครงการคนละครึ่ง ที่รัฐบาลช่วยออกเงินค่าจ้างเด็กจบใหม่ 50% เป็นระยะเวลา 1 ปี ให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งถือเป็นการช่วยเหลือ SMEs ให้สามารถดำเนินธุรกิจไปได้
- ให้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า แต่ไม่เกินวงเงิน 30,000 บาท สำหรับผู้ซื้อสินค้าจาก SMEs ในระบบเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ และเพิ่มรายได้ให้กับ SMEs ไทย
2. ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นเมืองปลอดภาษี สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติคุณภาพสูง เพื่อเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวแห่งเอเชีย และมีความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ โดยเปลี่ยนโครงสร้างในการจัดเก็บภาษีนำเข้า เช่น ไม่มี Import Tax สำหรับสินค้านำเข้าเมื่อมีการซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
รัฐบาลอาจพิจารณาทดลอง Sandbox ปลอดภาษี ที่จังหวัดภูเก็ตก่อนเป็นที่แรก เพราะภูเก็ต ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของประเทศ และในเฟสต่อไปจะขยายผลไปสู่จังหวัดอื่น ๆ จนครบทั้งประเทศ
3, อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ โดยโครงการของภาครัฐ
- นำโครงการช้อปดีมีคืนกลับมา เพื่อเป็นการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ จากประชาชนกลุ่มที่มีรายได้สูง โดยเพิ่มวงเงินเป็น 1 แสนบาท พร้อมเพิ่มระยะเวลาการใช้จ่ายเป็น 2 เดือน
- ดำเนินโครงการคนละครึ่ง และไทยเที่ยวไทยไว้อย่างต่อเนื่องยาวถึงสิ้นปี ถือเป็นโครงการของภาครัฐ ที่ได้รับผลตอบรับดี ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนในการ กิน เที่ยว ใช้ สินค้าและบริการของคนไทย เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ สมาคมฯ ขอฝากถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ ให้เร่งดำเนินการตามนโยบาย 9 ดี: กรุงเทพฯ เมืองน่าอยู่สำหรับทุกคนของท่าน เพื่อยกระดับกรุงเทพมหานคร ให้เป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจ และกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เพื่อให้การท่องเที่ยวไทยกลับมาแข็งแรง และประเทศไทยกลับมาเดินหน้าได้อย่างเต็มกำลังอีกครั้ง
เศรษฐกิจไทยกำลังถูกกระทบจากความเสี่ยงรอบด้าน และไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเรากำลังเผชิญพายุเศรษฐกิจ 5 สูงนี้อยู่ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน จำเป็นต้องเตรียมพร้อมและตั้งรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น เพื่อรับมือกับพายุเศรษฐกิจนี้ให้ได้
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ช้อปดีมีคืน ต่อลมหายใจค้าปลีก ดัชนีเดือน กพ. ส่งสัญญาณดีขึ้น วอนขยายมาตรการ
- 4 เทรนด์ลูกค้าหลังโควิด ‘ค้าปลีก’ ปรับตัวด่วน พลิกวิกฤติสร้างโอกาส
- โอไมครอน ฉุดค้าปลีกซึมยาว สมาคมผู้ค้าปลีกไทย จี้รัฐจำกัดวงระบาด หวั่นซ้ำรอยวิกฤติโควิดปี 64