ผู้บริโภคเริ่มปรับตัวรับโควิด ดันดัชนีอสังหาฯ อาเซียน ปรับตัวดีขึ้น ราคาไม่ใช่ปัจจัยเดียวในการซื้อบ้าน
ข้อมูลจากรายงาน “Southeast Asia Rising from the Pandemic” ของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) เผยว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ในปี 2564 ประชากรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 4.7 ล้านคนอยู่ในระดับความยากจนขั้นรุนแรง
นอกจากนี้ยังคาดว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนในปี 2565 จะส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ลดลง 0.8% เช่นกัน
ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ได้รับผลกระทบโดยตรงในช่วงแรก ทำให้ผู้ประกอบการต่างงัดกลยุทธ์มาใช้ เพื่อช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในตลาดและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคที่ต้องการมีบ้านอย่างต่อเนื่อง
ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยในไทย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study และแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคในอาเซียนรอบล่าสุด (สิงคโปร์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และเวียดนาม) จากเว็บไซต์ในเครือ พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป
ผลการสำรวจพบว่า ดัชนีอสังหาฯ อาเซียน มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคสามารถปรับตัวให้พร้อมอยู่ร่วมกับโควิด-19 เพื่อดำเนินชีวิตต่อไปให้เหมือนปกติได้และมีความมั่นใจในการซื้อที่อยู่อาศัยอีกครั้ง
เผยดัชนีอสังหาฯ อาเซียน
ชาวอินโดนีเซีย 57%
ชาวสิงคโปร์ 51%
ชาวเวียดนาม 47%
ชาวมาเลเซีย 46%
ชาวไทย 45%
นอกจากนี้ อสังหาริมทรัพย์ถือเป็นทรัพย์สินที่มีความผันผวนต่ำ เมื่อเทียบกับการลงทุนแบบอื่น แม้ผู้บริโภคไม่ได้อยู่อาศัยเอง แต่มองถึงโอกาสต่อยอดลงทุนในระยะยาว จึงเป็นอีกปัจจัยที่ส่งเสริมให้ดัชนีความเชื่อมั่นที่อยู่อาศัยรอบล่าสุดนี้เติบโตเช่นกัน
เห็นได้ชัดจากการที่ ผู้บริโภคในประเทศมาเลเซีย 77%, อินโดนีเซีย 77%, เวียดนาม 77% และไทย 78% เผยว่า ตั้งใจจะซื้อบ้านใหม่เพิ่มโดยที่ยังเก็บบ้านเดิมเอาไว้ ขณะที่สิงคโปร์มีเพียงแค่ 46% เนื่องจากมากกว่าครึ่งวางแผนจะขายบ้านเดิมก่อนที่จะซื้อบ้านใหม่
ส่วนเหตุผลสำคัญในการซื้อบ้านเพิ่มนั้น ผู้บริโภคชาวมาเลเซีย 53% ชาวอินโดนีเซีย 66% และชาวสิงคโปร์ 63% มองที่การลงทุนเป็นหลัก
ด้านชาวเวียดนามส่วนใหญ่ต้องการซื้อให้บุตรหลาน 54% ขณะที่เหตุผลชาวไทยซื้อบ้านใหม่เพื่อตั้งใจเก็บไว้อยู่ตอนเกษียณ 31%
การตัดสินใจซื้อบ้านยุคโควิด
ผู้บริโภคชาวสิงคโปร์ มองว่า เทรนด์ที่อยู่อาศัยที่ต้องการในอนาคตแม้จะไม่มีการแพร่ระบาดแล้วคือ การมีบ้าน/คอนโดฯ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เนื่องจากต้องการพื้นที่ใช้สอย ที่รองรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่บ้านของสมาชิกในครอบครัว และให้ความสำคัญกับโครงการที่เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ
อย่างไรก็ดี ชาวสิงคโปร์นั้นมีมุมมองด้านความต้องการดูแลสุขภาพในอนาคตที่แตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน โดย 43% มองว่าโครงการที่อยู่อาศัยที่ใกล้กับสถานพยาบาล/ศูนย์ดูแลสุขภาพ ไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย เนื่องจากทุกพื้นที่ในประเทศสามารถเข้าถึงบริการดังกล่าวได้อย่างเท่าเทียมกันอยู่แล้ว
ชาวมาเลเซีย เทรนด์ที่อยู่อาศัยที่ อบโจทย์การใช้ชีวิตในอนาคตมากที่สุดคือ บ้าน/คอนโดฯ ที่ใกล้ชิดธรรมชาติมากถึง 53% ขณะที่ 2 ใน 3 ของชาวมาเลเซีย เผยว่า ที่อยู่อาศัยที่ตั้งอยู่ใกล้โรงพยาบาลเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด เพื่อรองรับการดูแลสุขภาพในอนาคต
ชาวอินโดนีเซีย 47% ต้องการอาศัยในทำเลที่ไม่แออัดหรือย่านชานเมือง เนื่องจากยังกังวลเรื่องสุขอนามัยและการรักษาระยะห่างทางสังคม ครึ่งหนึ่งของชาวอินโดนีเซีย (50%) คาดว่าเมื่อการแพร่ระบาดฯ สิ้นสุดลงจะส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกของตลาดที่ฟื้นตัว
สำหรับคุณสมบัติสำคัญอันดับต้น ๆ ที่บ้าน/คอนโดฯ ยุคโควิดต้องมีในมุมมองของชาวอินโดนีเซียนั้น จะให้ความสำคัญใน 2 ปัจจัยเท่ากัน คือ โครงการที่ใกล้ชิดธรรมชาติ (60%) และอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ (60%)
ชาวเวียดนาม พบว่า เทรนด์ที่อยู่อาศัยที่มองหาในอนาคตคือ มีบ้าน/คอนโดฯ ที่ใกล้ชิดธรรมชาติ/มีพื้นที่ทำสวน ต้องตั้งอยู่ใกล้โรงพยาบาล เพื่อรองรับการดูแลสุขภาพยามเจ็บป่วย สะท้อนให้เห็นถึงการเตรียมพร้อมเพื่อสร้างสุขภาพที่ดีทั้งจากภายนอกและภายใน
นอกจากนี้ ชาวเวียดนามให้ความสำคัญกับสมาชิกในครอบครัวมาเป็นอันดับต้น ๆ โดยคุณสมบัติสำคัญของที่อยู่อาศัยในฝันอันดับแรกคือ ต้องมีสนามเด็กเล่นหรือแหล่งเรียนรู้รองรับการใช้ชีวิตของบุตรหลาน (58%)
อย่างไรก็ตาม เกือบ 4 ใน 5 (79%) มองว่า ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ควรกังวลและให้ความสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์อุปทานล้นตลาดด้วย หลังจากมีบทเรียนจากภาคอสังหาฯ ในจีนที่เผชิญวิกฤตขาดสภาพคล่อง
ผู้บริโภคชาวไทย ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดย 88% วางแผนเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้โรงพยาบาล ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน โดย 66% มองว่าคุณสมบัติสำคัญที่บ้าน/คอนโดฯ ยุคใหม่จำเป็นต้องมีคือ การออกแบบให้อากาศถ่ายเทสะดวกและมีแสงธรรมชาติเพียงพอ
นอกจากนี้ 77% ของชาวไทย เผยว่าอัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่พิจารณาเมื่อต้องยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดย 59% เผยว่าความไม่มั่นคงของหน้าที่การงานและความผันผวนของรายได้ถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัย
อย่างไรก็ดี มีเพียงผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลชาวไทยเท่านั้นที่เผยว่ายังไม่มีแผนย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ภายใน 1 ปีข้างหน้า (54%) เนื่องจากต้องการอยู่ดูแลพ่อแม่ และยังไม่มีเงินเก็บมากพอที่จะซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยของตัวเอง
ต่างจากกลุ่มมิลเลนเนียลชาวอินโดนีเซีย, ชาวสิงคโปร์ และชาวเวียดนามที่มากกว่าครึ่งเผยว่าตั้งใจจะย้ายออกภายในปีหน้า (85%, 76% และ 51% ตามลำดับ) ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในตลาดอสังหาฯ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- LPP วาดยุทธศาสตร์ลุยบริหารจัดการอสังหาฯ ครบวงจร ปักธง 3 ปีเข้าตลาดฯ
- ความต้องการที่อยู่อาศัย กับวิถีชีวิตดิจิทัล โจทย์ใหญ่อสังหาฯ
- ‘ศุภาลัย’ มองบวก คาดยอดขายอสังหาฯปี 65 ฟื้นตัวสูงกว่าปี 62 ก่อนโควิดระบาด