5 หุ้นเด่น ขวัญใจนักวิเคราะห์ ในช่วงครึ่งปีหลัง จากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน คัดจากหุ้นที่มีนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป
สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน หรือ IAA Survey ได้มีการสำรวจความคิดเห็นจาก 15 บริษัทหลักทรัพย์ 4 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน และ 1 บริษัทโกลด์ ฟิวเจอร์ส์ เกี่ยวกับทิศทางการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี 2563
โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจ คงหนีไม่พ้นการคาดการณ์แนวโน้มตลาดหุ้น ปี 2563 โดยผลสำรวจมีการให้เป้าหมาย SET Index อยู่ที่ 1,383 จุด และให้กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เฉลี่ยที่ 65.44 บาท/หุ้น ซึ่งคิดเป็นการลดลง 22.30%
ขณะเดียวกัน ก็ได้มีการเปิดเผยรายชื่อ “หุ้นเด่น” คัดจากหุ้นที่มีนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป โดยมีทั้งหมด 5 หุ้นด้วยกัน ดังนี้
1. ADVANC บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)
ปัจจัยบวก : ต้องบอกว่า ADVANC เป็นบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง ทำให้ยังสามารถจ่ายปันผลได้อย่างต่อนื่อง โดยปัจจุบันเงินปันผลอยู่ที่ระดับ 3 – 4% อีกเรื่องคือการที่ราคายังปรับตัวขึ้นไม่มากในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับประโยชน์จากจำนวนการใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นหลัง Work From Home นั่นเอง
มูลค่าหลักทรัพย์ : 550,107 ล้านบาท
P/E Ratio : 18.11 เท่า
2. CK บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)
ปัจจัยบวก : เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกมีการชะลอประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ออกไปหลายโครงการ แต่แน่นอนว่าช่วงที่เหลือของปี ภาครัฐจะต้องทยอยกลับมาเปิดประมูลโครงการใหญ่ๆ อีกหลายโครงการ ซึ่งส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เช่น
– โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (บางขุนนนท์-มีนบุรี) มูลค่า 1.1 แสนล้านบาท
– โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) มูลค่า 8 หมื่นล้านบาท
– โครงการรอการเปิดประมูลงานเดินรถของรถไฟฟ้าสายสีม่วง (ราษฎร์บูรณะ-คลองบางไผ่) รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม) คิดเป็นมูลค่างานก่อสร้าง 9.6 หมื่นล้านบาท
มูลค่าหลักทรัพย์ : 32,184 ล้านบาท
P/E Ratio : 24.25 เท่า
3. CPALL บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
ปัจจัยบวก : ด้วย CPALL เป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อที่จะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วที่สุด และได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ ประกอบกับการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง จึงคาดการณ์ว่ากำไรในปีหน้าจะกลับมาโตระดับ 2 หลัก ราว 14% ได้อีกครั้ง
มูลค่าหลักทรัพย์ : 601,867 ล้านบาท
P/E Ratio : 27.09 เท่า
4. CPF บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)
ปัจจัยบวก : ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาเนื้อสัตว์ที่สูงขึ้น จากความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะเข้ามาชดเชยค่าเงินบาทที่แข็งค่าได้
มูลค่าหลักทรัพย์ : 284,171 ล้านบาท
P/E Ratio : 13.88 เท่า
5. INTUCH บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
ปัจจัยบวก : INTUCH เป็นโฮลดิ้งคอมพานีที่มีข้อได้เปรียบในเรื่องของกระแสเงินสดที่มั่นคง รวมทั้งอัตราการจ่ายเงินปันผลยังอยู่ในระดับสูง และไว้ใจได้
มูลค่าหลักทรัพย์ : 181,969 ล้านบาท
P/E Ratio : 16.67 เท่า
ส่วนหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงนั้น นักวิเคราะห์ให้มุมมองว่า ควรเลี่ยงลงทุนในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูง อย่างกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อาทิ โรงแรม สายการบิน และสิ่งสำคัญของการลงทุนในช่วงที่เหลือ ก็คือการจัดพอร์ตการลงทุนกระจายความเสี่ยงในหลากหลายสินทรัพย์ ทั้ง หุ้นไทย กองทุนตราสารหนี้ หุ้นต่างประเทศ และกองทุนหุ้นต่างประเทศ
ขอบคุณข้อมูลจาก: สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- หุ้นโรงพยาบาล 7 เรื่องควรรู้ก่อนซื้อ!
- มีในพอร์ตหรือยัง? เปิด 20 หุ้นจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ยาวนานตลอด 28 ปี
- เจาะหุ้นถุงมือยาง ‘STGT’ ราคาแรง… แพงไปหรือยัง ?