นับจากปี 2557 ที่ “ทีวีดิจิทัล” เริ่มออนแอร์ ได้เปลี่ยนภาพอุตสาหกรรมสื่อโทรทัศน์อายุ 60 ปี มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจำนวนช่องฟรีทีวี ที่เพิ่มจำนวนจาก ช่อง 6 เป็น ช่อง 24 ช่อง เพิ่มขึ้น 4 เท่า ปัจจุบันเหลือ 22 ช่อง
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของผู้ชมที่ถูกแย่งสายตาจากคอนเทนท์หลากหลายในโลกออนไลน์ รายได้โฆษณาทีวี อยู่ในภาวะถดถอย สถานะผู้นำ “ฟรีทีวี” ที่ครองตลาดมานานกึ่งศตวรรษ ถูกท้าทาย ทั้งจากผู้เล่นหน้าใหม่ในอุตสาหกรรมทีวี และเทคโนโลยี ที่ไม่ใช่คู่แข่งโดยตรง
สะท้อนจากรายได้ของฟรีทีวี “รายเดิม” ทั้งผู้นำที่ฐานรายได้แข็งแกร่งระดับ “หมื่นล้าน” กำไรหลักพันล้านบาท หลังทีวีดิจิทัล ผ่านไปเพียง 4 ปี จากอายุสัญญา 15 ปี ผู้นำที่แข็งแกร่ง รายได้และกำไรเริ่ลดลงต่อเนื่อง บางรายเห็นตัวเลข “ขาดทุน” เป็นครั้งแรก!!
“ผู้เล่น” หน้าใหม่ในสนาม ทีวีดิจิทัล 22 ช่อง ก็มีหลากหลายสถานะ ทั้งกลุ่มที่ยังดิ้นหาทางรอด กลุ่มที่เริ่มเห็นรายได้เป็นบวก และกลุ่มที่สร้างกำไร!! แต่ในมุมของผู้ที่ยังอยู่ในเกมการแข่งขัน ยังมองเห็นโอกาสในตลาดทีวีดิจิทัลเสมอ!!
ตลอดช่วง 4 ปีของทีวีดิจิทัล ไม่ใช่ว่าตลาดนี้ไม่มีโอกาส เพราะ “ผู้เล่นหน้าใหม่” ส่งคอนเทนท์เข้ามาสร้างปรากฏการณ์เขย่าจอเรียกเรตติ้ง ดันราคาหุ้นทะลุเพดานกันมาแล้ว อย่าง The Mask Singer ของช่องเวิร์คพอยท์ ล่าสุด “เมีย2018” ดันเรตติ้ง “ช่องวัน” ไต่อันดับกลุ่มผู้นำเช่น
การแข่งขันในสมรภูมิ ทีวีดิจิทัลอย่างดุเดือด เพราะผู้เล่นในตลาดนี้รู้ดีว่า โฆษณาทีวี ยังมีมูลค่าสูงสุดเมื่อเทียบกับสื่ออื่น ด้วยมูลค่าปีละกว่า 6 หมื่นล้านบาท นั่นคือโอกาสที่กลุ่มเรตติ้งท็อปไฟว์ จะได้ครอบครองมากที่สุด
เป้าหมาย 3 ปีดัน “พีพีทีวี”ท็อปไฟว์
สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีโทรทัศน์พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมโทรทัศน์ในยุคทีวีดิจิทัล คือ เห็นการพัฒนาคอนเทนท์ที่เกิดขึ้นหลากหลายทุกรูปแบบ ทำให้ “คอนเทนท์” ใหม่ๆ มีโอกาส โดนใจผู้ชม ที่ผ่านมาจึงมีโอกาสเห็นการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงของเรตติ้งช่องผู้นำ 3 อันดับแรกอยู่บ่อยครั้ง
ทั้งนี้ จะเห็นว่าช่องวาไรตี้ เวิร์คพอยท์, ช่องช่าวไทยรัฐทีวี, ช่องภาพยนตร์โมโน หรือละครช่องวัน บางช่วงที่มีคอนเทนท์โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นรายการฟอร์แมทต่างประเทศ การแข่งขันกีฬาดัง รายการข่าวที่อยู่ในความสนใจ ละครกระแสแรง สามารถทำเรตติ้งผู้ชมเบียดช่องผู้นำฟรีทีวีรายเดิมทั้ง อันดับ 1 และอันดับ 2 ได้ แม้เป็นช่วงเวลาไม่นานในการครองเรตติ้งผู้นำ แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในยุคก่อนทีวีดิจิทัล ที่คอนเทนท์มีจำกัด เช่นเดียวกับผู้ผลิตรายการที่ไม่กี่ราย
“ในยุคที่ทีวีดิจิทัล มีช่องมากขึ้นและมีความหลากหลายของคอนเทนท์ จึงเป็นยุคที่ใครๆ ก็สามารถแข่งขันได้ถ้ามีคอนเทนท์ที่แข็งแรง หากดึงผู้ชมให้กับช่องได้ต่อเนื่อง ก็มีโอกาสชิงเรตติ้งช่องผู้นำได้”
สำหรับเรตติ้งช่อง “พีพีทีวี” เดือนกรกฎาคม 2561 อยู่อันดับ 15 ส่วนเดือนสิงหาคม ซึ่งร่วมถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ทำให้เรตติ้งขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 10 และในเดือน กันยายนนี้ จะมีผังรายการวาไรตี้ใหม่ลงจอ วางเป้าหมายสิ้นปีนี้ตั้งเป้าเรตติ้งอันดับ 6-10
เป้าหมาย 3 ปีจากนี้ของพีพีทีวี ต้องการติดอยู่ในท็อป 5 เพราะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุคทีวีดิจิทัล ใครๆ ก็มีโอกาสทำได้ เรามีสิทธิ์ตั้งเป้าหมาย หากมีรายการโดนก็จะสำเร็จได้เร็ว เพราะผู้ชมไม่ได้ติดยึดกับช่อง แต่เลือกดูจากคอนเทนท์ที่โดดเด่น
เข็นวาไรตี้-ซีรีส์ ลงผัง ก.ย.
สุรินทร์ กล่าวว่าตั้งแต่เดือนกันยายนนี้ ได้ปรับผังรายการช่วงเช้าและผังไพร์มไทม์ช่วงเย็น ด้วยคอนเทนท์หลากหลาย ได้แก่ วาไรตี้ อีสปอร์ต เอเชียนซีรีส์แนวโมเดิร์นดราม่า ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00-10.00 น. รายการสารคดี “ชั่วโมง ดิสคัฟเวอรี” (Discovery Hour) ทุกวันจันทร์-อาทิตย์ เวลา 8.00 – 9.00 น. ส่วนรายการ “ET Thailand” (Entertainment Tonight Thailand) รายการข่าวบันเทิงจากฝั่งอเมริกาที่ออกอากาศมากว่า 36 ปี นำมาผลิตในแบบฉบับของไทย ออกอากาศทุกวันจันทร์- อาทิตย์ เวลา 19.20-20.00 น. และวันเสาร์-อาทิตย์ อากาศเวลา 18.20-19.00 น.
ส่วนช่วงไพร์มไทม์ วันพุธ-พฤหัสบดี เปิดช่วงซีรีส์ใหม่ ภายใต้ชื่อ “36 Series Hits” ประเดิมด้วยซีรีส์เกาหลียอดนิยมที่เคยทำเรตติ้งสูงสุดที่เกาหลีมาแล้วถึงระดับ 9.2 เรื่อง“รักมั้ยนะ เลขาคิม? (What’s Wrong with Secretary Kim?)” ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.15-21.45 น. เริ่ม 5 กันยายนนี้
ส่วนรายการอีสปอร์ต ซึ่งได้รับการตอบรับดี อย่าง “คิง ออฟ เกมเมอร์ส ซีซั่น 2”(King of GamersSeason2) รายการแข่งขันเกม RoV เพื่อตามหานักกีฬาอีสปอร์ตมืออาชีพ โดยแชมป์ของซีซันแรกก็เดินทางไปโชว์ฝีมือในกีฬาสาธิตที่เอเชียนเกมส์อยู่ในขณะนี้ สำหรับ “คิง ออฟ เกมเมอร์ส ซีซัน 2” เริ่มวันเสาร์ที่ 8 ก.ย.นี้ เวลา 19.00-20.00 น.
ทุ่ม 500 ล้านดึง “เดอะวอยซ์” 3 รายการลงจอ
นอกจากนี้ พีพีทีวี ได้เสริมทัพด้วยรายการ “ฟอร์แมท” ดังจากต่างประเทศ โดยจับมือกับผู้ผลิตรายการนำเสนอ ซีซันนอล โปรแกรม ที่มีฐานผู้ชมติดตามรายการอยู่แล้ว โดยร่วมกับ กันตนา เอฟโวลูชั่น นำเสนอรายการ “เดอะเฟซเมน ไทยแลนด์ 2” (The Face Men Thailand2) รายการค้นหาหนุ่มหล่อรูปร่างหน้าตาดี มีความสามารถ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อผลักดันเข้าสู่วงการบันเทิง เริ่มวันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคมนี้ เวลา 20.15 – 21.45 น.
นอกจากนี้บริษัทได้ลงทุนกว่า 500 ล้าน คว้าลิขสิทธิ์รายการ เดอะ วอยซ์ 3 รายการ ต่อเนื่อง 3 ซีซัน จาก Talpa เจ้าของลิขสิทธิ์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้แก่ เดอะ วอยซ์ ไทยแลนด์ 2018, เดอะ วอยซ์ คิดส์ และ เดอะ วอยซ์ ซีเนียร์ รายการใหม่ การประกวดร้องเพลงสำหรับวัยเกษียณ
สำหรับ “เดอะ วอยซ์ ไทยแลนด์ 2018” (The Voice Thailand เสียงจริง ตัวจริง) ซึ่งถือเป็นรายการที่ติดอันดับท็อปไฟว์ของเดอะวอยซ์ทั่วโลก เคยออกอากาศที่ช่อง 3 ผลิตรายการโดย APJ & CO ยังคงเป็นผู้ผลิตรายการเดอะวอยซ์ให้กับ พีพีทีวี ในซีซัน โดย “เดอะ วอยซ์ ไทยแลนด์ 2018” จะออกอากาศในเดือนพฤศจิกายนนี้ วางช่วงเวลาไพร์มไทม์วันธรรมดา
“ปัจจุบันพีพีทีวียังไม่มี คอนเทนท์ที่สร้างสลอตเวลาที่แข็งแรงให้กับช่อง แต่เชื่อว่า ช่วงไพร์มไทม์ 20.15 – 21.45 น. ที่จะนำเสนอ ฟอร์แมทรายการต่างประเทศ จะเป็นสลอตแรกที่แข็งแกร่งและแข่งขันกับช่องอื่นได้”
ส่งละครลงผังปีหน้า-ขยายฐานคนดู“ผู้หญิง”
สุรินทร์ กล่าวว่า พีพีทีวีเริ่มจากจุดแข็งคอนเทนท์กีฬา พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ที่สามารถสร้างการจดจำจากผู้ชมว่าเป็นช่องที่นำเสนอกีฬาฟุตบอลต่างประเทศ ซึ่ง 3 ซีซัน ใช้งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท ซีซันนี้เป็นซีซันสุดท้ายที่ บีอิน สปอร์ต เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ โดย 3 ซีซันใหม่ เริ่มปี 2019 เฟซบุ๊ก เป็นผู้ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ซึ่งเชื่อว่า พีพีทีวีและเฟซบุ๊ก มีโอกาสที่จะหารือการถ่ายทอดสดร่วมกันหลังจากนี้
เราถ่ายฟุตบอลพรีเมียร์ลีกปีละ 20 แมตช์ หากไม่ได้รับสิทธิ์ถ่ายทอดสดต่อใน 3 ซีซันหน้า ก็ไม่ส่งผลกระทบ เพราะไม่เคยมีทีวีช่องใด อยู่ไม่ได้เพราะไม่มีพรีเมียร์ลีก
ปีนี้ พีพีทีวี ได้เริ่มถ่ายสดรายการกีฬาต่างประเทศ อื่นๆ เพิ่มเติม ทั้งเทนนิส แกรนด์สแลม รวมทั้งได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด โมโต จีพี ซึ่งการแข่งขันที่สนามบุรีรัมย์ คาดว่าจะมีผู้ชมกว่า 4-5 หมื่นคน
อย่างไรก็ตามหลังจากปรับผังรายการใหม่ปีนี้ ด้วยการเสริมผัง วาไรตี้ ซีรีส์ ฟอร์แมทต่างประเทศ และละคร ที่จะเริ่มออกอากาศในปีหน้า ประมาณ 10 เรื่องต่อปี โดยมีผู้จัดละครเดิมที่มาร่วมกับพีพีทีวีและผู้จัดใหม่ จะทำให้พีพีทีวี มีสัดส่วนคนดูผู้หญิงเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันคนดูเป็นผู้ชาย 60%
หลังจากนี้ พีพีทีวี วางแผนผลิตคอนเทนท์เองมากขึ้น จากปัจจุบันผลิตรายการข่าวสัดส่วน 20% ของผังรายการ โดยราคาโฆษณาเฉลี่ยที่นาทีละ 1 หมื่นบาท โดยราคาโฆษณาสูงสุดคือถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก นาทีละ 3 แสนบาท ส่วนรายการใหม่จะปรับราคาโฆษณาเพิ่มขึ้น และวางเป้าหมายว่าจะถึงจุดคุ้มทุนภายใน 2-3 ปีจากนี้