รัฐยกเลิกเคอร์ฟิว หอการค้ายกมือสนับสนุน แต่ขอให้คง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน คุมโควิด-19 ไม่ให้ระบาดซ้ำ เผยหลังคลายล็อกระยะ 3 ดันเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจ 1-2 แสนล้าน
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการ หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะ ประธานคณะทำงานกลุ่มมาตรการสำหรับการกลับมาเปิดธุรกิจใหม่ ภายใต้คณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชน ในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เปิดเผยว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับการที่ รัฐยกเลิกเคอร์ฟิว แต่ยังควรต้องมีพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไว้ก่อน
ทั้งนี้เนื่องจากที่ผ่านมา การประกาศใช้เคอร์ฟิวไม่ได้ส่งผลกระทบกับภาคธุรกิจมากนัก เพราะช่วงเวลาเคอร์ฟิว เป็นช่วงที่ประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ได้เดินทางไปไหนอยู่แล้ว โดยกลุ่มที่กระทบจะเป็นธุรกิจ หรือ กิจการที่ดำเนินการตอนกลางคืนมากกว่า ดังนั้น การที่ รัฐยกเลิกคอร์ฟิว จึงเอื้อกับกลุ่มนี้มากกว่า
สำหรับ เหตุผลที่ต้องการให้คง พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไว้นั้น ก็เพื่อช่วยควบคุม และ ป้องกันการแพร่ระบาดซ้ำของโรคโควิด-19 รวมทั้งควรจะมีมาตรการอื่นๆ ทยอยออกมาเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นกังวล คือ การควบคุมคนในประเทศและกลุ่มที่จะเข้ามาในประเทศ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดรอบสอง จึงแนะนำว่า ในการเปิดการเดินทางระหว่างประเทศ ควรพิจารณาประเทศ ในกลุ่มที่พอจะมีการควบคุมสถานการณ์ได้ หรือ เปิด Travel Bubble เช่น จีน เวียดนาม ไต้หวัน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รวมทั้งต้องมั่นใจว่า ประเทศไทยมีมาตรการรองรับ ในการคัดกรองที่ดีพอเช่นกัน
นอกจากนี้ หอการค้าไทยฯ จับมือร่วมกับภาคสาธารณสุข ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม เดินหน้าโครงการเปิดเมือง ปลอดภัย พร้อมจัดงานสัมมนาออนไลน์ “ร่วมฝ่าวิกฤตโควิด-19 รับมือมาตรการผ่อนปรน ระยะที่ 3” ระดมวิทยากรระดับประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมไขข้อข้องใจ ในทุกประเด็น กับทิศทางประเทศไทยหลัง คลายล็อคดาวน์ ระยะที่ 3 เพื่อร่วมขับเคลื่อน โครงการ เปิดเมือง ปลอดภัย
ในงานสัมมนาดังกล่าวว่า หอการค้าไทยฯ ประเมินว่า หลัง คลายล็อกดาวน์ ระยะที่ 3 สำหรับกิจการและกิจกรรมในกลุ่มสีเหลือง ซึ่งมีความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระดับปานกลางถึงสูง ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 1-2 แสนล้านบาท
“ตั้งแต่มีการคลายล็อกดาวน์ระยะที่ 1 ในกลุ่มสีขาวหรือความเสี่ยงต่ำ และ มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2563 และ ระยะที่ 2 ในกลุ่มสีเขียวหรือความเสี่ยงปานกลาง วันที่ 17 พฤษภาคม 2563 ส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ 2 แสนล้านบาท” นายกลินท์ กล่าว
จากการประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2563 (ณ เดือนพฤษภาคม 2563) ของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ประเมินว่า GDP ของประเทศไทยจะติดลบ 3-5% ซึ่งเป็นระดับดีกว่าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่าจะติดลบ 6.7%
การประเมิน จีดีพี ว่าจะติดลบเพียง 3-5% เนื่องจากมองว่า ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ มีมาตรการเยียวยา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการพิจารณาเปิดประเทศ และ การฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งต้องดูเปรียบเทียบประเทศอื่นๆ รวมถึงกำหนดกระบวนการที่ชัดเจน ในการจะอนุญาตให้ชาวต่างชาติ ทั้งนักธุรกิจ และนักท่องเที่ยวเข้าประเทศในอนาคต เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนไทยว่า จะไม่เกิดการแพร่ระบาดระลอก 2 (Second Wave) จากการให้คนต่างชาติเข้าประเทศ
ขณะที่ มาตรการต่างๆ ของภาครัฐที่จะมีออกมา เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้ รัฐบาลจะต้องดูแลในเรื่องของผู้ว่างงาน และแผนการพัฒนาประเทศ รวมถึง การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้ตามเป้าหมาย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ หลังจาก พ.ร.ก. กู้เงิน ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
ปัจจุบัน จะเห็นบรรยากาศการปรับตัว เพื่อประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอด ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจผ่านระบบดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นโอกาสใหม่ๆ ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการทำงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และสร้างสรรค์บริการต่างๆ ที่น่าสนใจ เป็นต้น
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- หอการค้าหวั่นเศรษฐกิจไม่ฟื้น! ฉุดจีดีพีติดลบหนักสุด 8.8%
- เช็คเลย! รายละเอียดผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 4 ‘เลิกเคอร์ฟิว-เปิดรร.-ขายเหล้า’
- ประกาศ ‘ยกเลิกเคอร์ฟิว’ ทั่วราชอาณาจักร ดีเดย์จันทร์นี้!!