Business

ไทยรับอานิสงส์เทรดวอร์ ส่งสินค้าขายสหรัฐเพิ่ม จีนเสียแชมป์แหล่งนำเข้าสำคัญ

สนค. วิเคราะห์สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ความขัดแย้งในยูเครน ทำจีนเสียตำแหน่งแชมป์นำเข้าที่ครองมา 10 ปี ในตลาดสหรัฐ ให้เม็กซิโก ชี้ไทยได้ประโยชน์ส่งออกสินค้าไปขายทดแทนเพิ่มขึ้น 

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้ติดตามประเด็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ พบว่า ส่งผลต่อการค้าโลก โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีน ตั้งแต่สงครามการค้า (เทรดวอร์) สงครามเทคโนโลยี ไปจนถึงความพยายามในการแบ่งแยกห่วงโซ่อุปทาน

สงครามการค้า

นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครน ที่เป็นตัวเร่งการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจการค้าให้ชัดเจนขึ้น ส่งผลให้ในปี 2566 จีนเสียตำแหน่งแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ต่อเนื่อง 14 ปี ในตลาดสหรัฐ ให้แก่เม็กซิโก โดยส่วนแบ่งตลาดของจีนในตลาดสหรัฐ ลดลงถึง 7.7% ในช่วงการเกิดสงครามการค้า (ปี 2560-2566)

ในขณะที่จีนยังครองตำแหน่งแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ในตลาดสหภาพยุโรปต่อเนื่อง 17 ปี แต่สัดส่วนของสินค้าจีนในตลาดสหภาพยุโรปลดลง 2% เหลือเพียง 20.4% จากระดับสูงสุดที่ 22.4% ในปี 2563 สำหรับสินค้าสหรัฐ ในตลาดจีน สัดส่วนลดลงถึง 1.9% ในช่วงการเกิดสงครามการค้า

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณารายละเอียดเจาะลึกเป็นรายตลาดตั้งแต่เกิดสงครามการค้า พบว่า ในตลาดสหรัฐ มูลค่าการนำเข้าจากจีนลดลงเฉลี่ย 2.8% และสัดส่วนสินค้าลดลง 7.7% จากระดับ 21.6% ในปี 2560 มาอยู่ที่ 13.9% (มีมูลค่า 427,229 ล้านดอลลาร์) ในปี 2566

นอกจากนี้ยังพบว่า สหรัฐมีการนำเข้าสินค้าจากภายในภูมิภาคอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยขยายตัวเฉลี่ย 6.6% ต่อปี ในช่วงปี 2560-2566 ซึ่งมูลค่านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาขยายตัวเฉลี่ย 7.2% และ 5.9% ตามลำดับ อีกทั้งสัดส่วนสินค้าจากเม็กซิโกเพิ่มขึ้น 2.1% แตะระดับ 15.4% (มีมูลค่า 475,607 ล้านดอลลาร์) และสัดส่วนสินค้าจากแคนาดาเพิ่มขึ้น 0.9% ที่ระดับ 13.7% (มีมูลค่า 421,096 ล้านดอลลาร์)

พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์
พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์

ขณะเดียวกัน ยังมีการนำเข้าสินค้าจากอาเซียนเพิ่มขึ้น ได้แก่ เวียดนาม สิงคโปร์ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ขยายตัวเฉลี่ย 16.2% 13.0% 10.4% 4.8% และ 3.6% ตามลำดับ

สำหรับตลาดจีน แม้การนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ สูงกว่าก่อนเกิดสงครามการค้า แต่อัตราการขยายตัวเฉลี่ยต่ำที่ระดับ 1.8% โดยมูลค่าการนำเข้าเฉลี่ยของจีนในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 6.2% และส่วนแบ่งตลาดของสหรัฐ ลดลง 1.9% มาอยู่ที่ระดับ 6.5% (มีมูลค่า 166,085 ล้านดอลลาร์) ในปี 2566

ขณะที่จีนมีการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นจากสวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รัสเซีย แคนาดา และบราซิล โดยขยายตัวเฉลี่ย 33.1% 21.7% 20.9% 14.3% และ 13.2% และยังมีการนำเข้าสินค้าจากอาเซียนเพิ่มขึ้น ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย ไทย และสิงคโปร์ โดยขยายตัวเฉลี่ย 17.4% 14.8% 11.2% 3.4% และ 1.1% ตามลำดับ

ส่วนตลาดสหภาพยุโรป แม้จะไม่เห็นผลกระทบจากเทรดวอร์อย่างชัดเจน แต่พบว่าได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในยูเครน โดยสัดส่วนการนำเข้าจากรัสเซียลดลง 5.1% จากระดับ 6.9% ในปี 2564 มาอยู่ที่ 1.8% (มีมูลค่า 47,998 ล้านดอลลาร์) ในปี 2566

ส่งออก

อีกทั้งสัดส่วนการนำเข้าจากจีนลดลง 1.8% มาอยู่ที่ระดับ 20.4% ในช่วงเวลาเดียวกัน (มีมูลค่า 555,426 ล้านดอลลาร์) ขณะที่สัดส่วนการนำเข้าจากสหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 2.6% มาอยู่ที่ระดับ 13.5% (มีมูลค่า 366,392 ล้านดอลลาร์)

ทั้งนี้ ไทยถือเป็นประเทศหนึ่งที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จากการขยายตัวของการส่งออก ทั้งในตลาดสหรัฐ และจีน รวมถึงการขยายตัวของสินค้าเกษตรและอาหาร ตามมาตรการรักษาความมั่นคงทางอาหารของประเทศคู่ค้า

เห็นได้จากในปี 2566 แม้มูลค่าการนำเข้าในตลาดส่งออกหลักของไทยอย่างสหรัฐ จีน สหภาพยุโรป คิดเป็นสัดส่วนราว 37% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในปี 2566 จะหดตัวที่ 4.9% 5.6% และ 14% ตามลำดับ แต่ภาพรวมหลายสินค้าของไทย สามารถส่งออกไปทดแทนสินค้าของสหรัฐ และจีน ที่มีปัญหาระหว่างกันได้เพิ่มขึ้น

จากนี้ยังคงต้องติดตามความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่อาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโลก และต้นทุนสินค้า โดยเฉพาะความตึงเครียดในทะเลแดง ที่ยังไม่มีท่าทีจะจบลง ทำให้ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออก นำเข้า ของไทยอย่างไร รวมถึงดำเนินการเชิงรุกในการรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

สนค. ได้ติดตามสถานการณ์ความไม่สงบอิสราเอล-ปาเลสไตน์ อย่างใกล้ชิดในทุกวัน และยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ ผลกระทบจากภัยแล้งในหลายพื้นที่ทั่วโลก และเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าไทยในระยะข้างหน้า

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

เว็บไซต์: https://www.thebangkokinsight.com/
Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
X (Twitter): https://twitter.com/BangkokInsight
Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg

Avatar photo