Business

‘ไพศาล’ ฟันธง แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท งบ 5 แสนล้าน หมุนกลับเข้าคลัง 7 แสนล้าน

“ไพศาล” เชื่อมั่นรัฐบาล แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท งบ 5 แสนล้านบาท ได้เงินกลับเข้าคลัง 7 แสนล้านจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ถ้าล้มเหลวก็เสียหาย 5 แสนล้าน น้อยกว่าการกู้เงินมาแจกที่สูญไปหลายล้านล้านบาท

นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Paisal Puechmongkol ในนามปากกา สิริอัญญา เรื่อง ว่าด้วยเรื่องของเงินดิจิทัล โดยระบุว่า

แจกเงินดิจิทัล

พรรคเพื่อไทยหาเสียงเรื่องการแจกเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาท ก็ถูกคนบางพวกคัดค้านโต้แย้งกระทั่งระบุเหตุผลสารพัดว่าทำไม่ได้ หรือถ้าทำได้ก็จะเกิดความเสียหายมากมาย และยังโวยวายกันอยู่จนกระทั่งถึงวันนี้ ในขณะที่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้อธิบายเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไรกันแน่

เป็นที่น่าสังเกตว่า หัวหอกในการโต้แย้งเรื่องนี้ บางคนเป็นอดีตผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย อ้างว่าจะกระทบต่อวินัยการเงินการคลัง และจะเกิดความเสียหายมากมาย

บางพวกก็เป็นนักวิชาการ หรือไม่ก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งแนวทางโต้แย้งก็เป็นไปในทางเดียวกันคือ จะเกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศ

ครั้นจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลก็ยืนยันที่จะดำเนินการเรื่องนี้อย่างเด็ดเดี่ยว และแถลงว่าจะลงมือแจกเงินดิจิทัลแก่ประชาชนคนละ 10,000 บาท โดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 5 แสนล้านบาท ประมาณช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2567 และระหว่างนี้เป็นระหว่างการเตรียมการ โดยเฉพาะระบบที่จะแจกหรือส่งเงินดิจิทัลดังกล่าวแก่ประชาชน รวมถึงการใช้สอยทั้งระบบ

ซึ่งหมายความว่า นโยบายเรื่องนี้รัฐบาลเอาจริงแน่ แต่น่าแปลกใจที่ไม่อธิบายให้เกิดความเข้าใจโดยทั่วไป

ไพศาล พืชมงคล
ไพศาล พืชมงคล

ดังนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้ก็สมควรที่จะทำความเข้าใจเรื่องนี้กันสักครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้หายคลายกังวลและเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง กระทั่งสามารถรับเอาประโยชน์ทั้งหลายที่จะพึงเกิดขึ้นจากเรื่องนี้

ในประการแรก ก็ต้องบอกว่าวงเงินดิจิทัลที่จะแจกกันนี้มียอดรวมทั้งสิ้น 5 แสนล้านบาท และจะแจกครั้งเดียวในวงเงินคนละ 10,000 บาท

ดังนั้นถ้าหากเรื่องนี้ผิดพลาดล้มเหลว อย่างมากก็จะฉิบหายมากที่สุดก็ไม่เกิน 5 แสนล้านบาท เทียบไม่ได้กับการกู้เงินมาแจกในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งก่อหนี้สร้างสินให้แก่ชาติบ้านเมืองหลายล้านล้านบาท และยังควักล้วงเอาเงินออมของประชาชนไปสมทบใช้จ่ายอีกด้วย

ก็น่าแปลกใจว่าทำไมการกู้เงินมาแจก และด่าว่ากันตลอดมา ซึ่งเกี่ยวข้องกับวงเงินหลายเท่านัก แต่พอมาถึงรัฐบาลนี้จะแจกเงินดิจิทัลแค่ 5 แสนล้านบาท กลับโวยวายยิ่งกว่าการกู้เงินมาแจกหลายล้านล้านบาท ก็ตั้งข้อสังเกตให้เห็นกันว่า อคติของคนเรานั้นบางทีก็ทำให้เกิดความมืดบอดทั้งแก่ตนเองและแก่สังคมด้วย

ประการที่สอง ขอทำความเข้าใจอย่างง่ายที่สุดว่า การออกเงินดิจิทัลครั้งนี้ก็เหมือนกับห้างสรรพสินค้าออกคูปองให้ผู้เข้าไปในห้างสรรพสินค้าคนละ 150 บาท เพื่อเอาคูปองนี้ไปจับจ่ายใช้สอยในร้านค้าต่าง ๆ ของห้างสรรพสินค้านั้น แล้วร้านค้าทั้งหลายที่รับเอาคูปองไว้ ก็เอาเงินไปขึ้นกับห้างสรรพสินค้านั้น มันมีลักษณะเดียวกันไม่มีผิดเลย ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้วก็จะเข้าใจเรื่องนี้ทั้งระบบ

ช้อปปิ้ง 6165

ความแตกต่างอันมหัศจรรย์อยู่ตรงที่ เงินดิจิทัล หรือถ้าจะเรียกให้เข้าใจง่ายที่สุดก็คือคูปองดิจิทัลที่จะแจกให้คนละ 10,000 บาทนั้น มันจะไม่ใช่คูปองที่จ่ายได้เพียงครั้งเดียวทอดเดียว แต่สามารถใช้สอยต่อกันไปเป็นทอด ๆ ได้ไม่จำกัด จนกว่าจะถึงเวลากำหนดที่จะต้องเอาเงินดิจิทัลนั้นมาขึ้นเงินเอากับรัฐบาล

ขอให้เข้าใจอย่างนี้ ก็จะเข้าใจเรื่องนี้ชัดเจนแจ่มแจ๋ว

ประการที่สาม ผู้รับเงินดิจิทัลหรือคูปองดิจิทัลสามารถใช้คูปองดิจิทัลนี้ต่อไปได้ไม่จำกัดทอด ใครมีไว้ก็เอาไปใช้จ่ายได้ในมูลค่า 10,000 บาทตามที่กำหนดไว้ และทุกทอดที่มีการใช้จ่าย ไม่ว่าจ่ายเป็นค่าสินค้าหรือค่าบริการ ผลตามกฎหมายที่เกิดขึ้นโดยทุกคนไม่ได้คิดก็คือ ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่รัฐบาลจัดเก็บจากผู้ขายหรือผู้ให้บริการในอัตรา 7%

ดังนั้นทุก 100 บาท ที่มีการจับจ่ายใช้สอยหรือมีการซื้อบริการ รัฐบาลก็เก็บรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มได้เป็นเงิน 7 บาท

ดังนั้นวงเงินคูปองดิจิทัล 5 แสนล้านบาท เมื่อจับจ่ายใช้สอยกันไปในทอดแรกรัฐบาลก็สามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้จ่ายในงบประมาณได้ถึง 3.5 หมื่นล้านบาท

เมื่อมีการจับจ่ายใช้สอยเงินดิจิทัล หรือคูปองดิจิทัลนี้ในทอดต่อไป รัฐบาลก็จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเรื่อยไป เมื่อจ่ายไปถึงทอดที่สิบ รัฐบาลก็จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าคลังได้ถึง 3.5 แสนล้านบาท

ดังนั้นเมื่อมีการจ่ายเงินไปถึงทอดที่ยี่สิบ รัฐบาลก็จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ถึง 7 แสนล้านบาท มาใช้จ่ายเป็นงบประมาณได้สบายใจเฉิบ

เพราะเงินภาษีที่เก็บได้นี้มากกว่าวงเงินคูปองดิจิทัลไปแล้วถึง 2 แสนล้านบาท โดยที่รัฐบาลยังไม่ได้จ่ายเงินเลย

shutterstock 709876900

นี่คือมายาภาพที่เป็นจริงของสิ่งที่เรียกว่า การปริวัตร ซึ่งเป็นมาตรการทางการคลังที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของรัฐบาล เป็นคนละเรื่องกับสิ่งที่เรียกว่ามาตรการทางการเงินที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนั้นการจะแหยมหรือล้ำเส้นในเรื่องนี้จึงควรพิจารณาจรรยาบรรณมารยาท และความรับผิดชอบกันสักหน่อย

ประการที่สี่ เมื่อถึงเวลากำหนดที่รัฐบาลจะต้องจ่ายเงินแก่ผู้ถือเหรียญดิจิทัลคนสุดท้าย ถ้าใครคิดว่ารัฐบาลจะจ่ายเงินก็อาจจะตื้นไปสักหน่อย เพราะรัฐบาลอาจออกมาตรการบางอย่างให้บุคคลอื่นเข้าซื้อเอาเงินดิจิทัลนี้ไปเก็บไว้

ยกตัวอย่างเช่น รัฐบาลออกมาตรการว่าผู้ใดก็ตามถือเหรียญดิจิทัล 1 แสนบาท สามารถใช้เหรียญดิจิทัลนี้ไปค้ำประกันผู้ต้องหาหรือจำเลยได้ 2 แสนบาท

หรือถ้าใครนำเหรียญดิจิทัลนี้ 1 แสนบาท ไปวางเป็นประกันด้านภาษีอากรหรือคลังสินค้าทัณฑ์บนหรือหลักประกันใด ๆ ที่ต้องวางกับรัฐ เช่นเงินประกันซอง หรือเงินประกันสัญญาต่างๆ ถ้าใช้เงินดิจิทัล 1 แสนบาท ก็ให้ถือเป็นหลักประกันได้ 2 แสนบาท เพียงเท่านี้ก็จะมีคนแห่กันไปซื้อเงินดิจิทัลมาใช้ประโยชน์จนจะไม่พอขาย

ดีไม่ดีรัฐบาลอาจจะออกเงินดิจิทัลชุดที่สองอีก 5 แสนล้านบาท หรือมากกว่านั้นก็ได้

แผ่นดินประเทศไทยในวันนี้ ถ้าเปรียบเหมือนแผ่นดินก็ขาดน้ำคือ เงินที่หล่อเลี้ยงจนเหือดแห้งทั้งประเทศ ผู้คนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ผู้รับผิดชอบมาตรการทางการเงินจะทำอะไร ผู้คนก็คอยดูกันอยู่

แต่ทันทีที่เงินดิจิทัล 5 แสนล้านบาท แจกออกไป ก็ดุจดังฝนแรกที่โปรยปรายลงมาให้ชุ่มฉ่ำทั้งแผ่นดินในต้นฤดูฝน

ก็คอยดูความมหัศจรรย์แห่งการปริวัตรของการใช้มาตรการทางการคลังในครั้งนี้ ดีไม่ดีเรื่องนี้อาจจะสร้างคะแนนเสียงให้กับพรรคเพื่อไทยยิ่งกว่าครั้งออกนโยบายกองทุนหมู่บ้านแล้วพวกหัวเก่าไม่เข้าใจ คัดค้านกันเกรียวกราว แล้วเป็นเหตุให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งก็ได้

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo