นายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุงแห่งสิงคโปร์ เตือน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เจอภัยคุกคามทั้งจากการโจมตีไซเบอร์ และจากกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) แม้ว่าเครือข่ายก่อการร้าย กลุ่มนี้ จะประสบความพ่ายแพ้ในตะวันออกกลางไปแล้วก็ตาม
พื้นที่บางส่วนใน 10 ประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ต้องรับมือกับกลุ่มติดอาวุธอิสลามมาเป็นเวลานาน และการเกิดขึ้นของกลุ่มไอเอส เป็นเหมือนการกระตุ้นให้กลุ่มเคลื่อนไหวสุดโต่งมีตัวกระตุ้นใหม่ที่จะออกปฏิบัติการ
การโจมตีด้วยปืน และระเบิดพลีชีพในกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย เมื่อปี 2559 ถือเป็นการโจมตีในภูมิภาคที่มีกลุ่มไอเอสออกมาอ้างความรับผิดชอบเป็นครั้งแรก
ขณะที่การบุกเข้ายึดครองเมืองมาราวี ในฟิลิปปินส์เมื่อปีที่แล้ว ของกลุ่มติดอาวุธที่ภักดีต่อเหล่านักรบญิฮัด ก็จุดชนวนให้เกิดการต่อสู้นานหลายเดือน และทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลกันว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเศรษฐกิจกำลังเฟื่องฟูอย่างมาก และมีผู้คนจำนวนมากขึ้นที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในชีวิตประจำวัน อาจตกเป็นเป้าของการโจมตีไซเบอร์มากขึ้น
“เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ในภาวะสันติ แต่ภัยคุกคามเหล่านี้เป็นเรื่องจริงอย่างมาก” ผู้นำสิงคโปร์ ระบุ
เขาบอกด้วยว่า อาเซียนจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นทั้งต่อภัยคุกคามที่มีร่วมกัน และของแต่ละประเทศ เช่น การก่อการร้าย และโจมตีไซเบอร์
ในความพยายามที่จะต่อสู้กับก่อการร้าย และอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ นั้น บรรดาผู้นำอาเซียนยังเห็นพ้อง ที่จะให้เจ้าหน้าที่ของแต่ละประเทศ เริ่มการเจรจาเกี่ยวกับสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนทั่วอาเซียน
ในแถลงการณ์ร่วมนั้น บรรดาผู้นำอาเซียนยังให้คำมั่นถึงการต่อสู้กับกระแสปกป้องทางการที่กำลังเพิ่มขึ้น พร้อมเพิ่มความพยายามในการเจรจาเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรี 16 ชาติ ที่รวมถึง จีน และอินเดีย ภายใต้ชื่อ ความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค (อาร์เซป)
ผู้นำสิงคโปร์เตือนด้วยว่า ระบบการค้าโลกแบบเปิด กำลังตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคามที่เพิ่มมากขึ้น ผลจากนโยบายปกป้องการค้าของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่
“อารมณ์ทางการเมืองในหลายประเทศ ได้เปลี่ยนไป หันไปต่อต้านการค้าเสรีกันมากขึ้น โดยเฉพาะความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ กับจีน เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความวิตกกันมากขึ้น”
