Economics

‘GC’ปักธง ‘Circular Economy’ มุ่งรีไซเคิล-ผลิตพลาสติกมิตรสิ่งแวดล้อม

“GC ” ยึดหลัก Circular Economy ขับเคลื่อนธุรกิจระยะยาว นำร่องโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จในปี 2563   พร้อมประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2561 กำไรสุทธิ 12,793 ล้านบาท รายได้จากการขายรวม 136,712  ล้านบาท กำไรสุทธิในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2561 จำนวน 36,008 ล้านบาท  สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้น 21%

สุพัฒนพงษ์ จีซี

นายสุพัฒนพงษ์  พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ จีซี กล่าวว่า ในปี 2562  เป็นต้นไป ธุรกิจสีเขียวจะเติบโตสูงจากความตระหนักในการรักษาสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภคทั่วโลก

ในส่วนของจีซีอยู่ระหว่างขับเคลื่อนธุรกิจสีเขียว โดยนำหลัก Circular Economy   หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน Circular Economy มาประยุกต์ใช้เป็น “GC Circular Living “ มีแนวทางในการบริหารจัดการ 4 ด้าน ได้แก่

การบริหารทรัพยากร (Resources) ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง การบริหารจัดการกระบวนการผลิต (Production) โดยใช้หลัก 3Rs เพื่อก้าวไปสู่ 5Rs  ประกอบด้วย Reduce, Reuse, Recycle, Renewable และ Refuse  การบริโภคและการนำไปใช้ (Consumption) ให้คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด และการบริหารจัดการขยะ (Waste Management) อย่างมีประสิทธิภาพ

ขวดพลาสติก

โครงการที่เป็นรูปธรรมตามหลัก Circular Economy  ก็คือ ลงทุนโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  ผลิตจากถุงหูหิ้ว ขวดน้ำใส (PET) เป็นต้น  บนพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม จังหวัดระยอง ขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม หาพันธมิตรร่วมลงทุน รวมทั้งการจัดหาวัตถุดิบ (Waste Collection)  คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในต้นปี 2562 และเริ่มดำเนินการในปี 2563 หน้า วงเงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท กำลังผลิต 40,000 ตันต่อปี

สำหรับเป้าหมายในการดำเนินโรงงานรีไซเคิลพลาสติก เพื่อนำพลาสติกใช้แล้ว อาทิ ถุงช็อปปิ้ง มารีไซเคิลเป็นผลิตภัณฑ์มุลค่าสูง ที่สำคัญโครงการนี้บริษัทมีเป้าหมายลดปริมาณการใช้พลาสติกชนิดใช้แล้วทิ้ง (Single Used Plastic) โดยเฉพาะถุงช็อปปิ้ง ที่มียอดผลิต 150,000 ตันต่อปี ให้เหลือ 0 ตันต่อปี ภายใน 5 ปี รวมถึงการมุ่งสู่ตลาดไบโอพลาสติกในการผลิต Packaging รูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถย่อยสลายได้เร็ว

ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2561  นายสุพัฒนพงษ์ ระบุว่า ผลการดำเนินการที่ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า  มีรายได้จากการขาย 136,712 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 6 %  มีกำไรสุทธิปรับปรุง (Adjusted EBITDA ) 16,830 ล้านบาท  มีกำไรสุทธิรวม 12,793 ล้านบาท คิดเป็น 2.84 บาทต่อหุ้น ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% และ18 % ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2560 บริษัทมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 31%

พลาสติกแท้

ขณะที่ Adjusted EBITDA และกำไรสุทธิรวม ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12 % และ 29 % ตามลำดับ สำหรับผลการดำเนินงานใน 9 เดือนแรกของปี 2561 มีกำไรสุทธิรวม 36,008 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

ในไตรมาส 3 ปี 2561 ธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมีผลประกอบการปรับลดลงเล็กน้อยจาก ไตรมาส 3 ปี 2560 โดยในส่วนของธุรกิจโพลิเมอร์มีปริมาณการขายเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ มีกำลังการผลิตใหม่จากโรงงาน เอทิลินความหนาแน่นต่ำเชิงเส้น (LLDPE)  กำลังการผลิตจำนวน 400,000 ตันต่อปี เริ่มการผลิตในเชิงพาณิชย์ในเดือนมีนาคม 2561

ขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์เอทิลีนออกไซค์ ปรับตัวลดลงจากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น  เมื่อเปรียบเทียบกับผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2561 พบว่าผลประกอบการในไตรมาสนี้ของธุรกิจโอเลฟินส์ และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย เป็นผลจากระดับราคาผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์ที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับปริมาณการขายโอเลฟินส์ที่ลดลง ซึ่งเป็นผลจากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงงานโอเลฟินส์ 1

 

สำหรับธุรกิจอะโรเมติกส์ มีกำไรเพิ่มขึ้นเทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของส่วนต่างผลิตภัณฑ์พาราไซลีน เป็นหลัก และปริมาณการขายที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อเนื่องจากการที่มีการหยุดซ่อมบำรุง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในปีที่แล้ว

ทางด้านธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวลดลงจากไตรมาส 3 ปี 2560 เป็นผลจากส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ที่ลดลงเป็นหลัก แต่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า จากส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น  โดยเฉพาะในส่วนของน้ำมันเตา

สำหรับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น จากผลประกอบการที่ดีขึ้นของธุรกิจ อะคริโลไนไตรล์ (AN) ธุรกิจพีวีซี และผลประกอบการที่ดีขึ้นในส่วนของธุรกิจไบโอพลาสติกที่บริษัทดำเนินการผ่านบริษัท Natureworks ซึ่งดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศสหรัฐ

Avatar photo