กลยุทธ์ลงทุน ‘เนสท์เล่’ จับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ ขยายการลงทุน 3 โรงงาน รวมมูลค่า 4,500 ล้านบาท พร้อมลุยช่องทางอีคอมเมิร์ซ
นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า เปิดเผยว่า แม้ปีนี้จะเป็นปีที่ท้าทาย แต่เนสท์เล่ เชื่อมั่นในศักยภาพ ของตลาดประเทศไทย และมองเห็นถึงการเติบโตในระยะยาว โดย กลยุทธ์ลงทุน เนสท์เล่ จะเน้นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ไลฟ์สไตล์เปลี่ยนแปลงไป ด้วยการพัฒนานวัตกรรมที่ทันสมัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
จากการสำรวจ ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบัน พบว่า มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีความโดดเด่นใน 5 ด้านดังนี้
1. เลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น และมองหาผลิตภัณฑ์ ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
2. ให้รางวัลกับตัวเอง ด้วยการมองหาของกินเล่น เพื่อช่วยเติมเต็มความสุขระหว่างวัน
3. ผู้บริโภคให้ความสำคัญ กับความคุ้มค่าของสินค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจ มีความท้าทาย
4. ให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม
5. ช่องทางอีคอมเมิร์ซ และบริการส่งอาหาร (ฟู้ดเดลิเวอรี่) มีการเติบโตสูง เนื่องจากผู้บริโภค หลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอก เนสท์เล่ จึงนำอินไซต์เหล่านี้ มาเป็นข้อมูลวางกลยุทธ์ การดำเนินธุรกิจในครั้งนี้
ทั้งนี้ เนสท์เล่ เชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดประเทศไทย และมองเห็นถึงการเติบโตในระยะยาว จึงเดินหน้าขยายการลงทุน ใน 3 โรงงานหลัก ได้แก่ โรงงานอมตะ โรงงานบางชัน และ โรงงานยูเอชที นวนคร 7 เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง ไอศกรีม และเครื่องดื่มยูเอชที
การลงทุนดังกล่าว เป็นการนำอินไซต์ ของผู้บริโภคชาวไทย มาต่อยอดสู่ การวางกลยุทธ์ ในการดำเนินธุรกิจที่นำนวัตกรรมเข้ามาขับเคลื่อน เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีโภชนาการที่ดี รสชาติอร่อย และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย ควบคู่กับการคำนึงถึงความยั่งยืน
ผุดโรงงานอาหารสัตว์เลี้ยงแห่งใหม่ ที่ อมตะ
ปัจจุบัน มีคนจำนวนมาก ที่หันมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เป็นเพื่อนคลายเหงามากขึ้น ทำให้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว แม้ในช่วงโควิด-19 ที่หลายครอบครัวเริ่มลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น แต่กำลังซื้อในตลาดสัตว์เลี้ยงยังไม่ตก
สอดคล้องกับเทรนด์โลก ที่พบว่า ตลาดอาหารสัตว์พรีเมียม มีการขยายตัวสูงเช่นกัน เนื่องจากผู้บริโภค ยินดีที่จะจ่ายเงินมากขึ้น เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ให้กับสัตว์เลี้ยงของตัวเอง
เนสท์เล่ จึงใช้งบลงทุน 2,550 ล้านบาท สร้างโรงงานแห่งใหม่ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และเสริมพอร์ตโฟลิโอธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของเนสท์เล่ ให้แข็งแกร่งขึ้น โดยโรงงานแห่งใหม่ มีกำหนดเริ่มเดินสายการผลิต ในช่วงกลางปี 2564
ขยายไลน์การผลิตโรงงานบางชัน
สำหรับโรงงานบางชัน เป็นโรงงานผลิตไอศกรีมของเนสท์เล่ เพื่อตอบเทรนด์ผู้บริโภคชาวไทยในปัจจุบัน ที่ให้รางวัลกับตัวเอง ด้วยการมองหาของกินเล่น เพื่อช่วยเติมเต็มความสุขระหว่างวัน เนสท์เล่จึงสร้างความแปลกใหม่ให้ตลาดไอศกรีมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ไอศกรีมโมจิ ไอศกรีมคิทแคท และโอริโอ เป็นต้น
การเติบโตของยอดขายไอศกรีมเนสท์เล่ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จึงจัดสรรงบประมาณ 440 ล้านบาท เพิ่มไลน์การผลิตของโรงงานบางชัน เมื่อเดือนตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา
สร้างโรงงานยูเอชทีแห่งใหม่
โรงงานยูเอชที นวนคร7 เป็นโรงงานผลิตเครื่องดื่มยูเอชที ได้แก่ ไมโล และ นมตราหมี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจหลักที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
จากผลวิจัยของนีลเส็น (Nielsen) พบว่า เครื่องดื่มนมวัวยูเอชที และเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ยูเอชที จะมีการเติบโตถึง 3% ใน 3 ปีข้างหน้า สะท้อนให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ และพกพาสะดวก เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคชาวไทยมองหา
เนสท์เล่ จึงเดินหน้าสร้างโรงงานยูเอชทีแห่งใหม่ด้วยงบประมาณ 1,530 ล้านบาท และเริ่มการผลิตเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ชูเทคโนโลยีล้ำสมัย พร้อมตอบโจทย์ผู้บริโภคสายรักษ์โลก ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่าง ไมโล ยูเอชที หลอดกระดาษแบบงอได้ พร้อมตั้งเป้าลดการใช้หลอดพลาสติกได้มากกว่า 500 ล้านหลอดในปี 2564
นอกจากนั้น เนสท์เล่ ยังได้ลงทุนในการทำให้สายการผลิต ทำงานด้วยระบบดิจิทัลมากขึ้น ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์กล้องดิจิทัล เพื่อใช้ตรวจสอบ และควบคุมไลน์การผลิต ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ป้องกันความผิดพลาด และสามารถควบคุมคุณภาพได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพไปยังผู้บริโภค
เดินหน้ารุกตลาดอีคอมเมิร์ซ
ในส่วนของอีคอมเมิร์ซ ก่อนหน้าที่จะเกิดโควิด-19 ประเทศไทยคาดการณ์อัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซอยู่ที่ 30% แต่ช่วงที่เกิดโควิด-19 ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีการเติบโตเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากผู้บริโภคหันมาช้อปของใช้ในบ้าน และสั่งอาหารออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ในปี 2563 ยอดขายออนไลน์ของเนสท์เล่ โตกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 2 เท่า
ดังนั้น เพื่อตอบรับเทรนด์ดิจิทัลที่มาแรง เนสท์เล่ได้ตั้งทีมอีบิสซิเนสขึ้นตั้งแต่ปี 2561 พร้อมลงทุนทั้งด้านระบบและบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีทีมงานเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า และในปีนี้ได้จัดงบลงทุน อีบิสซิเนส 50 ล้านบาท เพื่อจัดหาเครื่องมือที่ดีที่สุด รวมทั้งร่วมมือกับพาร์ทเนอร์จัดการอบรม เพื่อให้ก้าวทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- งบโฆษณาเดือนตุลาคม หดตัว 15% ‘ติดลบทุกสื่อ’ โรงหนังอ่วมสุด เซ่นพิษล็อกดาวน์
- ‘พืชแห่งอนาคต’ สานเป้าอุตฯ ‘อาหารแห่งอนาคต’ ดันไทยขึ้น ‘เจฮับ’
- ‘เนสกาแฟ’ เสริมแกร่งพอร์ตทรีอินวัน ส่ง ‘ลาเต้’ ร่วมวงชานมไข่มุกฟีเวอร์