Business

น่าห่วง! ‘ซูเปอร์มาร์เก็ตไทย’ คะแนนสิ่งแวดล้อม การดูแลลูกค้า ร่วงต่ำกว่าครึ่ง

ซูเปอร์มาร์เก็ตไทย คะแนนความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมและสวัสดิการของผู้บริโภค ต่ำกว่าครึ่งในทุกมิติ โดยเฉพาะการดูแลผู้บริโภค-รับเรื่องร้องเรียน

นางสาวจิดาภา มีเพียร เจ้าหน้าที่ฝ่ายการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน องค์การอ็อกแฟม ประเทศไทย (OXFAM) เปิดเผยว่า แคมเปญ “ผู้บริโภคที่รัก” หรือชื่อเดิม “ซูเปอร์มาร์เก็ตที่รัก” ได้ประเมินซูเปอร์มาร์เก็ตไทยจำนวน 8 แห่ง ในมิติความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมและสวัสดิการของผู้บริโภค พบว่า ซูเปอร์มาร์เก็ตไทย ทำคะแนนในทุกมิติน้อยกว่า 50% ของคะแนนรวม

ซูเปอร์มาร์เก็ตไทย

ทั้งนี้ อ็อกเฟม ประเทศไทย ได้จัดทำการสำรวจ และประเมินนโยบายทางสังคม ของซูเปอร์มาร์เก็ตไทย มาตั้งแต่ปี 2561 โดยมีเป้าหมาย เพื่อสนับสนุนและส่งเสริม ให้มีการประกาศนโยบาย และแนวปฏิบัติ ในด้านที่เกี่ยวข้องกับ ประเด็นการสร้างความยั่งยืนทางอาหาร ตลอดจนมีการบังคับใช้นโยบายอย่างจริงจัง

สำหรับเป้าหมายของการประเมินในปีนี้ นอกจากจะช่วยให้ผู้บริโภค สามารถเข้าถึงอาหารปลอดภัยแล้ว ในขณะเดียวกัน ยังเป็นการช่วยส่งเสริมความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

จากการประเมินในปี 2563 พบว่า ที่ผ่านมา มี ซูเปอร์มาร์เก็ต หลายแห่ง ที่มีการประกาศนโยบาย และแนวปฏิบัติในด้านดังกล่าวสู่สาธารณะ แต่ในภาพรวมถือว่า ยังคงต้องมีการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น โดยมิติที่จะต้องเร่งปรับปรุง ประกอบด้วย

587005

  • การพัฒนานโยบายและแนวปฏิบัติ ที่เกี่ยวข้องกับ กลไกการร้องเรียน และการเยียวยาผู้บริโภค ที่จะต้องครอบคลุมแนวทางการจัดการข้อร้องเรียน รูปแบบ กรอบระยะเวลาในการจัดการข้อร้องเรียน และการชดเชย
  • การเปิดเผยข้อมูลแหล่งที่มา และกระบวนการ ในการคัดกรองสินค้า
  • การพัฒนากลไกการติดตาม และตรวจสอบย้อนกลับสินค้า โดยเฉพาะในสินค้า ประเภทผักและผลไม้ รวมไปถึงอาหารทะเล
  • มาตรการในการดำเนินการอย่างเด็ดขาด กับผู้ผลิตที่ไม่มีกระบวนการ การผลิตอาหารที่ปลอดภัย
  • ส่งเสริมการใช้นโยบาย และแนวปฏิบัติ ตามแนวทางการจัดหาสินค้าที่ยั่งยืน

ซูเปอร์

ด้าน นางสาวทัศนีย์ แน่นอุดร ผู้จัดการสำนักงาน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (FOUNDATION FOR CONSUMERS) กล่าวว่า จากผลการประเมิน ซูเปอร์มาร์เก็ตไทยที่ทำคะแนนในทุกมิติน้อยกว่าร้อยละ 50 ของคะแนนรวม ส่งผลให้ผู้บริโภคจำเป็นต้องร่วมกันผลักดันให้ ซูเปอร์มาร์เก็ต จัดทำมาตรฐาน และแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม รวมถึงส่งเสริมให้เกิดการบังคับใช้ ภายในห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำที่จะมาถึงผู้บริโภค

ดังนั้น สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม คือ การพัฒนาระบบและเครื่องมือที่ให้ผู้บริโภคสามารถที่จะตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้า รวมไปถึงส่วนประกอบของสินค้า ผลักดันให้ ซูเปอร์มาร์เก็ต จัดทำ ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้า และส่วนประกอบของสินค้า

พร้อมกันนี้ ควรให้ข้อมูลด้านโภชนาการ และข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญแก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่ออันตราย และไม่จำหน่ายสินค้าที่ไม่ปลอดภัย รวมถึงการพัฒนากลไกการรับเรื่องร้องเรียน และเยียวยาให้แก่ผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ โดยซูเปอร์มาร์เก็ต จำเป็นที่จะต้องมีการพิจารณาข้อร้องเรียน และมีการเยียวยาตามสิทธิพึงมีของผู้บริโภค

TU5 9826

ด้าน นางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) กล่าวว่า ภายใต้ห่วงโซ่ของธุรกิจอาหาร ที่มี ซูเปอร์มาร์เก็ต เป็นตัวแปรสำคัญนั้น ซูเปอร์มาร์เก็ตควรพัฒนา หลักจริยธรรมและมาตรฐานความปลอดภัย สำหรับผู้ประกอบการ ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้แน่ใจว่า สินค้าที่มาจากผู้ผลิตเป็นสินค้าที่มีกระบวนการผลิตอย่างมีจริยธรรม และมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค

ที่สำคัญคือ จากการประเมินมิติความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับคู่ค้า พบว่า 6 ตัวชี้วัดที่ไม่มี ซูเปอร์มาร์เก็ต ใดได้คะแนนเลย คือ การใช้ยาและสารเคมี ความยั่งยืนของระบบนิเวศต้นน้ำ การตรวจสอบและย้อนกลับ การบริหารจัดการพลังงาน การบริหารจัดการน้ำและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก น้ำทิ้ง และของเสีย

ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ไม่ได้มีการแสดงออกอย่างชัดเจน ถึงมาตรการที่เกี่ยวข้องความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ที่จะเกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทานของการผลิตสินค้าและบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง

“จำเป็นที่จะต้องผลักดันให้ผู้ประกอบการ มีการใช้มาตรการเพื่อควบคุมให้คู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค และเกิดความยั่งยืนทางอาหาร เนื่องจากในท้ายที่สุดแล้ว ผู้บริโภคคือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของผู้ประกอบการไม่ว่าทั้งทางตรงและทางอ้อม”นางสาวปรกชล กล่าว

การประเมินในครั้งนี้ จำแนกออกเป็น 3 มิติ ได้แก่ มิติด้านความรับผิดชอบต่อสวัสดิการของผู้บริโภค ด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับคู่ค้า และสิ่งแวดล้อมของห้างค้าปลีก โดยแต่ละมิติจะมี 8 ตัวชี้วัดย่อย การประเมินได้ดำเนินการโดยพิจารณาจากนโยบายของซูเปอร์มาร์เก็ต ที่เผยแพร่ต่อสาธารณะที่ตรวจสอบและเข้าถึงได้ เช่น เว็บไซต์ รายงานประจำปี หรือรายงานต่างๆ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 ถึงเดือนเมษายน 2563

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo