Business

อนาคตค้าปลีก ลงทุนระบบอัตโนมัติ เพิ่มความสะดวกสบาย รับยุค ‘เศรษฐกิจอยู่ติดบ้าน’

อนาคตค้าปลีก จุดเปลี่ยนจากประสบการณ์ลูกค้า ที่ต้องการซื้อสินค้าได้สะดวกสบาย และการเชื่อมต่อ ผู้ประกอบการลงทุนระบบอัตโนมัติเพิ่มขึ้น

ซีบรา เทคโนโลยีส์ คอร์ปอเรชั่น ผู้นำด้านนวัตกรรมโซลูชั่นอันทันสมัย เผยผลสำรวจ Annual APAC Shopper Study ครั้งที่ 12 ซึ่งวิเคราะห์แผนการใช้เทคโนโลยีของกลุ่มผู้ค้าปลีก ในทวีปเอเชียแปซิฟิก เพื่อปัญหาด้านการซื้อขายสินค้า พบว่า อนาคตค้าปลีก ผู้ค้าปลีกต่างกำลังมองหาเทคโนโลยีอย่าง ระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ (Intelligent Automation) การประมวลผลแบบคลาวด์ (Cloud Computing) และโมบิลิตี้ (Mobility) มาปรับใช้เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ

อนาคตค้าปลีก

การกลับมาดำเนินธุรกิจอีกครั้ง หลังการระบาดของ โควิด เป็นบททดสอบด้านความแข็งแกร่ง ของธุรกิจในการฟื้นตัว สำหรับผู้ค้าปลีก และซัพพลายเชน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นนี้ ตรงกับแนวคิดที่เรียกว่า “Economy at Home” หรือ “เศรษฐกิจอยู่ติดบ้าน” ซึ่งกล่าวถึง วิธีที่ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อสินค้าไปอย่างสิ้นเชิง โดยเห็นได้จากการจำนวนการสั่งซื้ออาหาร ผ่านช่องทางออนไลน์ ที่เพิ่มขึ้นทั่วทั้งภูมิภาค หรือการที่ผู้บริโภค มีความต้องการที่จะขำระค่าสินค้า ด้วยระบบชำระเงินแบบอัตโนมัติด้วยตัวเอง เพื่อลดความเสี่ยง และเพิ่มระยะห่าง จากพนักงานหน้าร้าน

การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้ผู้ค้าปลีก ต้องเปลี่ยนแนวคิด เกี่ยวกับในการสร้างความปลอดภัย และความมั่นใจให้แก่ผู้ซื้อ เมื่อผู้ซื้อมาซื้อที่หน้าร้าน ซื้อโดยสั่งผ่านการจัดส่ง ซื้อโดยสั่งสินค้าออนไลน์แล้วรับที่หน้าร้าน (Click-and-collect หรือ Buy Online, Pickup In-Store – BOPIS) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น

อนาคตค้าปลีก

รายงานระบุว่า 55% ของผู้บริโภค ต้องการให้ผู้ค้าปลีก เพิ่มตัวเลือกการสั่งซื้อผ่านโทรศัพท์มือถือ ความต้องการนี้ ทำให้กลุ่มผู้ค้าปลีก ต้องปรับกลยุทธ์ในการจำหน่ายสินค้าและบริการใหม่ เนื่องจากมีเพียง 36% ของผู้ค้าปลีกที่ตอบแบบสอบถาม มั่นใจว่าหน้าร้าน สามารถทำตามคำสั่งซื้อทางเว็บไซต์ได้

ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า เทรนด์การซื้อในวิธีดังกล่าว จะยังมีต่อไป ส่งผลให้ผู้ค้าปลีก ต้องใช้โซลูชั่น เพื่อช่วยลดการสัมผัสในร้าน และเพิ่มความสะดวกสบายของลูกค้าในเวลาเดียวกัน

ศิวัจน์ โรจนเต็มศักดิ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ซีบรา เทคโนโลยีส์ กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อธุรกิจค้าปลีกเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังบีบให้ร้านค้า ทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ต้องหันมาประเมินความสามารถของตน ในการให้บริการแบบ ออมนิชาแนล รวมถึงปรับรูปแบบการดำเนินงานภายใต้กรอบเวลาเพียงไม่กี่วัน และในบางแห่งเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

new normal ๒๐๐๘๐๘

ทั้งนี้ สามารถสังเกตได้ว่า ผู้ค้าปลีกหลายราย ได้ปรับปรุงพัฒนา “Dark Stores” ให้เป็นจุดกระจายสินค้าชั่วคราวภายในร้านค้า ดังนั้นผู้ค้าปลีก จึงควรให้ความสำคัญกับการขยายการให้บริการ Click-and-Collect และลงทุนกับเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว และความสะดวกในการซื้อสินค้า ให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ ซึ่งจะเป็นการลดความแออัดภายในร้าน ส่งเสริมมาตรการเว้นระยะย่าง พร้อมช่วยให้พนักงานสามารถมองเห็นสต็อกสินค้าได้สะดวกขึ้น

แม้ว่าการใช้เทคโนโลยี อาทิ อุปกรณ์พกพา มาเป็นตัวช่วยเพื่อลดความยุ่งยาก ของการจัดการ และตรวจสอบสินค้าคงคลังของพนักงาน ดูจะเป็นวิธีการที่เหมาะสม จากผลสำรวจกลับพบว่า มากกว่า 64% ของหน้าร้านค้า ไม่มีอุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกเหล่านี้ ให้พนักงานใช้

การระบาดใหญ่ที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้บริโภคใช้บริการ Click-and-Collect เพิ่มขึ้นมาก ทำให้ร้านค้าหลายแห่ง มีความจำเป็นต้องให้บริการ แบบไร้การสัมผัสอย่าง curbside pickup (การขับรถไปยังจุดรับของที่สาขาใกล้บ้าน จากนั้นพนักงานจะนำสินค้ามาส่งให้ถึงรถ) คู่กับแท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์พกพา

ET51 Enterprise tablet

โซลูชั่น mPOS (Mobile Point-of-Sale) อาทิ ET51 แท็บเล็ตระดับองค์กร, TC52 คอมพิวเตอร์จอทัชสกรีน, TC21 คอมพิวเตอร์จอทัชสรีน และ ZQ310 เครื่องพิมพ์พกพา สามารถผลักดันส่งเสริมกระบวนการทำงาน แบบไร้การสัมผัส ผ่านการแจ้งเตือนพนักงานหน้าร้าน เมื่อมีออเดอร์ออนไลน์ใหม่เข้ามา ช่วยให้พนักงานสามารถบรรจุ ติดฉลากสินค้า และพิมพ์ใบเสร็จให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนที่ลูกค้าจะมาถึงร้าน

นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่า การนำโซลูชั่น mPOS มาใช้งานจะเพิ่มขึ้นไปถึง 98% ภายในปี 2026 จาก 76% ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นไปในทางเดียวกันกับการใช้คอมพิวเตอร์พกพาที่มีเครื่องสแกนในตัว โดยการใช้งานอุปกรณ์ชนิดนี้ของพนักงาน ก็อาจเพิ่มขึ้นไปถึง 96% ภายในปี 2569 จาก 75% ในปัจจุบัน

การคืนสินค้า ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาของลูกค้า และเป็นความท้าทายที่สำคัญ สำหรับผู้ค้าปลีก โดยกว่า 51% ของกลุ่มผู้บริหารในอุตสาหกรรมค้าปลีก กล่าวว่าพวกเขาอยู่ในขั้นตอนวางแผนอัพเกรด และติดตั้งเทคโนโลยี เพื่อช่วยในการคืนสินค้า ซึ่งจะสำเร็จภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี

ขณะที่ 83% ของผู้ค้าปลีกในปัจจุบัน มีระบบตรวจสอบสินค้าคงคลังอัตโนมัติอยู่แล้ว หรือกำลังอยู่ในขั้นตอนวางแผน นำมาปรับใช้ภายในปี เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ของการตรวจสอบจำนวนสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo