Business

‘บรรยง’ เตือน! ร่อนจดหมายถึง ‘20มหาเศรษฐี’ ระวังเอกชนกุมนโยบายรัฐ

“บรรยง” เตือนร่อนจดหมายถึง “20มหาเศรษฐี” ให้ช่วยแก้ปัญหาไวรัสโควิด-19 ต้องระวังที่สุด! เรื่องเอกชนกุมนโยบายรัฐ แนะ “นายกฯ” ควรรับฟังเป็นข้อเสนอ แต่คิดให้ถี่ถ้วนก่อนนำไปปฏิบัติ

43031865 963959817140651 538006089036201984 n e1587204906471

จากกรณีที่เมื่อวานนี้ (17 เม.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่า จะส่งจดหมายเปิดผนึกถึงมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศ 20 คนในสัปดาห์หน้า เพื่อให้มาร่วมกันแก้ไขวิกฤตโควิด-19 นั้น

วันนี้ (18 เม.ย.) นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการ (บอร์ด) บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) โพสต์แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊ก Banyong Pongpanich มีเนื้อหาดังนี้

“เศรษฐีไทยช่วยชาติ…ในยามวิกฤติ ….18 เมษายน 2563

เห็นข่าวรัฐบาลเชิญมหาเศรษฐี 20 อันดับแรก ให้เข้ามาหารือเพื่อร่วมกันช่วยชาติในยามวิกฤติแล้วรู้สึกยังไงกันบ้างครับ (นี่ถ้าเชิญสัก 50,000 อันดับผมอาจจะได้เข้าทำเนียบอีกทีด้วย)

ผมเองมีความรู้สึก 2 ด้าน คือด้านที่รู้สึกดีว่ารัฐจะได้กระตุ้นให้ผู้ที่มีล้นเหลือหันมา ร่วมมือกันแบ่งปันเผื่อแผ่ ซึ่งความจริงผมก็เห็นทุกท่านทำกันมาอยู่แล้ว บางท่านก็มีโครงการดี เช่น สร้างโรงงานทำหน้ากากแจกฟรี สั่งซื้อเครื่องตรวจที่มีประสิทธิภาพให้โรงพยาบาลต่างๆ บริจาคทานให้ผู้เดือดร้อนในรูปแบบต่างๆ หลายท่านก็ทำมาตลอดตั้งแต่ก่อนหน้าวิกฤติ สร้างโรงพยาบาล โรงเรียน บริจาคมากมาย ถวายพระราชกุศล ฯลฯ การที่เรียกมาประชุมร่วมกัน ในแง่นี้ จะมีประโยชน์ก็แค่ 2 อย่าง คือ 1.จะได้แบ่งงานกันทำ แบ่งภารกิจ แบ่งพื้นที่ ให้ทั่วถึง ไม่ให้ซ้ำซ้อน หรือถ้ามีภารกิจใดที่ใหญ่เกินไปที่รายเดียวจะรับภาระได้ ก็จะได้ร่วมกันทำ

เศรษฐีไทย1

แต่แม้ในแง่ดีนี้ผมก็ยังเป็นห่วงอยู่ 2 เรื่อง คือ 1.ถ้าเป็นโครงการของรัฐ รัฐก็น่าจะทำได้เองอยู่แล้ว เพราะออก พรก.ไปตั้งเกือบ 2 ล้านล้าน ถ้ามีเรื่องจำเป็นก็ทำได้เลย ถ้าเงินไม่พอก็ออก พรก.เพิ่มได้ ถ้าจะใช้ทรัพยากรเอกชน ก็จ่ายเงินเขาไปมันง่าย ควบคุมได้ และทำให้โปร่งใสได้ง่ายกว่าเยอะ

แต่ที่ผมกลัวที่สุด ก็คือไปเรียกให้เข้าแถวมาบริจาคเหมือนคราวภัยพิบัติ ซึ่งเสร็จแล้วก็เอาเงินมากองไว้ ใช้ได้ยากมาก …เพราะฉะนั้น ในแง่ที่ว่าดีนี้ ถ้าเป็นการที่รัฐจะทำตัวเป็นศูนย์กลาง เป็นผู้ประสานรวบรวมทรัพยากรพิเศษเพื่อไปจัดการนั้น มันขัดกับหลักที่ว่าภาครัฐไม่มีทางที่จะมีประสิทธิภาพและความคล่องตัวเท่าเอกชน (ก็ให้คล่องทีไรมันรั่วทุกทีนี่ครับ) ผมก็คิดว่าให้เอกชนเขาทำไปเองเถอะครับ รัฐเพียงแต่ให้ข้อมูลข่าวสาร ว่าที่ไหนเดือดร้อนอะไร แล้วปล่อยเขาว่าไป

ทีนี้มาอีกด้านหนึ่ง คือรัฐเชิญเข้ามาปรึกษาเพื่อนำไปสร้างนโยบายและมาตรการที่จะรักษาระบบเศรษฐกิจ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ เยียวยาภาคส่วนที่มันเดือดร้อน อันนี้นัยว่าเหล่ามหาเศรษฐีล้วนเป็นคนเก่งคนดี ย่อมมีแนวคิดที่เป็นประโยชน์ อันนี้แหละครับที่ ผมคิดว่าจะต้องระวังอย่างมาก ควรเป็นไปในแนวทางที่รับฟังข้อมูล รับฟังปัญหา ถ้าจะมีข้อเสนอก็ควรเป็นแค่ข้อเสนอ การจะนำไปปฏิบัติจะต้องทบทวนพิจารณาอย่างถ้วนถี่ และการขับเคลื่อน ถ้าจะใช้ทรัพยากรเอกชนก็น่าจะเป็นในลักษณะส่าจ้าง มี Arm’slenght กันตามสมควร อย่าถึงกับให้เอกชนออกนโยบาย คุมนโยบาย หรือออกเงินขับเคลื่อนนโยบายเลยครับ

ขอยกตัวอย่างโครงการ “สานพลังประชารัฐ” ที่เริ่มต้นก็มีเจตนาดี ตั้งกรรมการสิบกว่าคณะ จะเปลี่ยนประเทศให้เป็น 4.0 เอกชนรายใหญ่เข้าไปร่วมกันครบครัน (ผมก็เข้าไปร่วมด้วย…นั่งฟังประชุม 4 ชั่วโมง ไม่มีคำว่า ส่งเสริมการแข่งขัน จำกัดการผูกขาด เปิดเสรีการแข่งขัน แม้แต่คำเดียว) ผลก็คือ ทำกันมา 5 ปีเศษ(ไม่รู้ยังมีใครยังทำอยู่บ้างครับ…ผมเผ่นมา 3 ปีแล้ว) เราก็ยังไม่ใกล้ 4.0 ไปเลยแม้แต่นิดเดียว ความเหลื่อมล้ำ ความยากจนก็ยังแย่ลง คอร์รัปชั่นไม่ลด) มีแค่เหล่ามหาทั้งหลายที่มีทรัพย์เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว(ตามที่ Forbes เขาว่านะครับ)

fig 25 06 2019 09 53 48

ความจริงแล้ว ตามทฤษฎี ตามประวัติศาสตร์ เขาว่า สงคราม วิกฤติเศรษฐกิจ และโรคระบาดร้ายแรงนี่เป็นเครื่องลดความเหลื่อมล้ำที่มีประสิทธิถาพ เกิดขึ้นทีไร ความเหลื่อมล้ำลด แต่มันลดในแง่ไม่ดี เพราะคนรวยจะโดนมากกว่าคนจนเยอะครับ …คราวนี้ก็เหมือนกัน เหล่ามหาที่ท่านเชิญมา ทรัพย์สินรวมลดไปแล้วหลายล้านๆ บาท หายไปหลาย 10% กันทุกคน ท่านก็ต่างเดือดร้อนกันเอง จะรักษาดูแลกิจการ ดูแลผู้คนของตัวก็ยังเป็นเรื่องลำบากอยู่แล้ว แถมรัฐต้องใช้เงินมหาศาลขนาดนี้ ก็เป็นที่แน่นอนว่า ท่านๆ ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างมากแน่นอน (ถ้าเรียกมาบอกเรื่องนี้เท่านั้น ขอให้อย่า “วางแผนภาษี” มากเกินไปก็น่าจะเป็นประโยชน์พอแล้วครับ)

ตามปกติแล้ว มหาเศรษฐีนี่จะมี 3 จำพวก (ผมแบ่งเองนะครับ) คือ 1. พวกค้ากับโลก 2. พวกค้าในชาติ และ 3.พวกค้ากับรัฐ

พวกค้ากับโลกก็คือ พวกที่ผลิตสินค้าและบริการขายไปทั่วโลก รายได้มากกว่า 80% มาจากนอกประเทศ พวกนี้ก็เช่น สตีฟ จ๊อบ บิล เกตส์ ซัคเคอร์เบิร์ก แจ๊คหม่า Ortega (เจ้าของ Zara) Arnault (เจ้าของLVMH) Samsung Sony ฯลฯ

พวกค้ากับชาติ คือ พวกที่ทำธุรกิจส่วนใหญ่กับคนในชาติตนเอง รายได้ส่วนใหญ่มาจากในประเทศ ส่วนใหญ่จะทำธุรกิจ Non-tradables เช่น อสังหาฯ สถาบันการเงิน โรงพยาบาล รีเทล โทรคมนาคม สาธารณูปโภคพื้นฐาน ถนน คมนาคมฯลฯ พวกนี้ถึงอาจจะไม่ค้ากับรัฐโดยตรง แต่ก็ต้องอยู่ใต้กฎรัฐมาก ต้องถูกควบคุมโดยรัฐ (เช่น ห้ามผูกขาดฯลฯ)

พวกที่ 3 คือ พวกที่ค้าขายกับรัฐโดยตรง พวกที่ขายสินค้าและบริการให้รัฐหรือรัฐวิสาหกิจ พวกที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ (ซึ่งก็คือเช่าการผูกขาดมาจากรัฐ) พวกนี้จะยากดีมีจนขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐ และความสัมพันธ์กับรัฐ

ผมจะไม่ไล่ให้นะครับ ว่า มหาเศรษฐีไทยคนไหนเป็นพวกไหน ทุกคนไล่ได้เอง …ถึงตอนนี้ ต้องเน้นว่า ผมไม่ได้ว่าใครผิดนะครับ ทุกคนมีสิทธิ์แสวงหาความร่ำรวยได้ครับเพียง แต่ขอให้ไม่ผิดกฎหมาย ไม่บิดเบือนตลาด ไม่บิดเบือนนโยบาย และไม่จ่ายเงินคอร์รัปชั่นเพื่อให้ได้มาซึ่งการบิดเบือนอำนาจรัฐ นโยบายรัฐ …รัฐมีหน้าที่ที่ต้องคอยดูแล ให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม ดูแลเรื่องความโปร่งใส ไม่ให้มีการครอบงำตลาด

00sdsdfsd

ในทฤษฎีคอร์รัปชั่นนั้น การคอร์รัปชั่นขั้นสูงที่น่ากลัวที่สุดก็คือ “การกุมรัฐ” (State Capture) ซึ่งก็คือ การที่เอกชนสามารถกุมนโยบายรัฐ หรือควบคุมรัฐให้ทำเพื่อประโยชน์ตัวเองได้ …อีกครั้งนะครับ ผมกำลังไม่ได้กล่าวหาใคร แต่เรื่องอย่างนี้ต้องระวังอย่างที่สุด ไม่ให้มีแม้แต่โอกาสที่จะเกิด

อย่างในยามวิกฤติที่ต้องการความเร่งด่วน ความชุลมุน การบิดบือน ยิ่งเกิดขึ้นได้ง่าย ยิ่งต้องระมัดระวัง ยกตัวอย่างที่ ขณะที่ท่านปลัดฯ ต้องตากหน้าลงไปเจรจาขอร้องประชาชนที่เดือดร้อนให้อดทนรอ แต่ท่านก็ให้รัฐวิสาหกิจที่ท่านเป็นประธานอาศัยช่วงชุลมุนออกมาตรการเยียวยาเอกชนที่ค้าขายด้วยให้ได้ลดค่าสัมปทานไปรวดเดียว 2 ปี (ออกมาตรการตั้งแต่ยังไม่ปิดเมือง ปิดสนามบินซะอีกอีก …ทำงานรวดเร็วมีประสิทธิภาพได้อย่างไม่น่าเชื่อ) คิดเป็นเงินหลายหมื่นล้าน เยียวยาท่านมหาไป

นี่แหละครับ ความเป็นห่วงของคนเสียภาษีคนหนึ่ง ที่สนับสนุนให้รัฐใช้มาตรการเด็ดขาดสู้โควิดมาตลอด สนับสนุนให้รัฐใช่ทรัพยาการเพิ่มขึ้นให้เต็มที่เพื่อเอาชนะโรคร้าย กับดูแลเศรษฐกิจไม่ให้วิกฤติ ดูแลผู้ด้อยโอกาส ผู้เดือดร้อน และเตรียมตัวที่จะยินยอมเสียภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อการนี้

ขอเน้นเป็นครั้งที่ 3 นะครับ ว่า ไม่ได้กล่าวหาใคร เพียงขออนุญาตส่งเสียงเตือนในฐานะประชาชนไว้เท่านั้นนะครับ

Avatar photo